จากผู้บัญชาการสู่ผู้โค่นล้ม: พินิจบทบาทอันซับซ้อนของ 'ฮุน เซน' ในยุคเขมรแดง
อัพเดทล่าสุด: 4 ส.ค. 2025
4 ผู้เข้าชม
จากผู้บัญชาการสู่ผู้โค่นล้ม: พินิจบทบาทอันซับซ้อนของ 'ฮุน เซน' ในยุคเขมรแดง
บทนำ:
สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คือรัฐบุรุษผู้ทรงอิทธิพลและเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการยุติสงครามกลางเมืองและนำพากัมพูชาสู่ยุคสมัยใหม่ แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ของผู้นำที่แข็งแกร่ง คือประวัติศาสตร์ในวัยหนุ่มที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียง นั่นคือการที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบอบ "เขมรแดง" ที่เขาเองได้กลับมาโค่นล้มในภายหลัง
บทวิเคราะห์นี้จะพินิจบทบาทของฮุน เซน ในยุคเขมรแดงอย่างตรงไปตรงมา โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจเส้นทางอันพลิกผัน จากผู้บัญชาการทหารของระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การเป็นผู้นำคนสำคัญในการปลดปล่อยประเทศ
บทที่ 1: The Young Revolutionary - หนุ่มปฏิวัติแห่งเขตตะวันออก
ในช่วงต้นทศวรรษ 1970s ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองในกัมพูชาและการขยายอิทธิพลของสงครามเวียดนาม ชายหนุ่มจำนวนมากได้เข้าร่วมกับกองกำลังปฏิวัติเขมรแดงเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนายพลลอน นอล ที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ "ฮุน เซน" ในวัยหนุ่มก็เป็นหนึ่งในนั้น
บทบาทและตำแหน่ง: ด้วยความสามารถทางการทหาร เขาได้ไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีตำแหน่งเป็น "ผู้บัญชาการกรมทหาร (Regimental Commander)" ใน "เขตภาคตะวันออก (Eastern Zone)" ของกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเขตที่มีพรมแดนติดกับเวียดนาม
ข้อถกเถียงเรื่องความรับผิดชอบ: นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ไม่มีหลักฐานโดยตรงที่เชื่อมโยงว่าฮุน เซน มีส่วนในการสั่งการสังหารหมู่ในทุ่งสังหารโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บัญชาการทหารระดับกลาง เขาย่อมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางทหารที่ค้ำจุนและทำให้ระบอบเขมรแดงสามารถดำเนินนโยบายอันโหดร้ายได้ (อ้างอิง: "Hun Sen's Cambodia" โดย Sebastian Strangio) เขตภาคตะวันออกในช่วงแรกถูกมองว่ามีความสุดโต่งน้อยกว่าเขตอื่นๆ แต่ต่อมาก็ได้กลายเป็นเป้าหมายของการกวาดล้างครั้งใหญ่จากส่วนกลาง
บทที่ 2: The Breaking Point - การแตกหักและการลี้ภัยสู่เวียดนาม
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของฮุน เซน เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 (1977)
การกวาดล้างภายใน: ระบอบของพล พต ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ได้เริ่มทำการ "กวาดล้างภายใน" ครั้งใหญ่ โดยพุ่งเป้ามาที่นายทหารและแกนนำในเขตภาคตะวันออก ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามี "ร่างกายเป็นเขมร แต่หัวใจเป็นเวียดนาม" การกวาดล้างนี้โหดเหี้ยมและนองเลือดอย่างยิ่ง
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์: เมื่อเผชิญหน้ากับความตายที่ใกล้เข้ามาอย่างแน่นอน ในเดือนมิถุนายน ปี 1977 ฮุน เซน พร้อมด้วยนายทหารระดับสูงคนอื่นๆ ในเขตภาคตะวันออก (เช่น เฮง สัมริน และ เจีย ซิม) ได้ตัดสินใจ "ลี้ภัย" โดยการนำกำลังทหารส่วนหนึ่งหนีข้ามพรมแดนเข้าไปยังประเทศเวียดนาม
บทที่ 3: The Return with a New Flag - การกลับมาพร้อมธงผืนใหม่
การลี้ภัยครั้งนั้นได้เปลี่ยนสถานะของฮุน เซน จากนายทหารเขมรแดง ไปสู่หนึ่งในผู้นำของ "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา" ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเพื่อโค่นล้มระบอบพล พต
การรุกรานของเวียดนาม: ในปลายปี 1978 กองทัพเวียดนามได้บุกเข้าสู่กัมพูชา และสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในวันที่ 7 มกราคม 1979 เป็นการปิดฉากยุคทมิฬของเขมรแดงอย่างเป็นทางการ
การก้าวสู่อำนาจ: ฮุน เซน ได้เดินทางกลับเข้ามาพร้อมกับกองทัพเวียดนาม และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลใหม่ คือ "สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา" เขากลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยวัยเพียง 20 กว่าปี และได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการครองอำนาจที่ยาวนานของเขา
บทที่ 4: The Complex Legacy - มรดกที่ซับซ้อนและศาลคดีเขมรแดง
ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในอำนาจ ฮุน เซน ได้สร้างเรื่องเล่าหลัก (Narrative) ของตนเองในฐานะ "ผู้ปลดปล่อยชาติ" ที่ได้ช่วยชีวิตประชาชนกัมพูชาจากระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ความสัมพันธ์กับศาลคดีเขมรแดง (ECCC): รัฐบาลของฮุน เซน ได้ให้ความร่วมมือในการจัดตั้ง "องค์คณะตุลาการพิเศษแห่งศาลกัมพูชา (ECCC)" ซึ่งเป็นศาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ เพื่อไต่สวนความผิดของอดีตผู้นำเขมรแดงระดับสูงสุดที่ยังมีชีวิตอยู่
ข้อวิพากษ์วิจารณ์: อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Human Rights Watch ได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลของเขามีบทบาทในการ "จำกัดขอบเขต" ของการไต่สวน ไม่ให้ขยายผลมาถึงอดีตเจ้าหน้าที่เขมรแดงระดับกลาง ซึ่งหลายคนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลและพรรครัฐบาลของเขาในปัจจุบัน
บทสรุป: เงาแห่งประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของฮุน เซน กับเขมรแดง คือเรื่องราวที่ซับซ้อนและไม่สามารถมองเป็นขาวหรือดำได้ ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ: เขาเคยเป็นผู้บัญชาการในกองทัพเขมรแดง และในเวลาต่อมา เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่โค่นล้มระบอบนั้นลง
การทำความเข้าใจในอดีตที่พลิกผันนี้ คือกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจตัวตนของรัฐบุรุษผู้ที่หล่อหลอมและกำหนดทิศทางของประเทศกัมพูชามานานกว่า 3 ทศวรรษ "เงาของเขมรแดง" คือเงาที่เขาเองเคยเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกัน
แหล่งที่มาและอ้างอิง (Sources and References):
"Hun Sen's Cambodia" by Sebastian Strangio
"The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975-79" by Ben Kiernan
The Documentation Center of Cambodia (DC-Cam)
Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia (ECCC)
Human Rights Watch - Reports on Cambodia and the ECCC
บทนำ:
สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คือรัฐบุรุษผู้ทรงอิทธิพลและเป็นนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการยุติสงครามกลางเมืองและนำพากัมพูชาสู่ยุคสมัยใหม่ แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์ของผู้นำที่แข็งแกร่ง คือประวัติศาสตร์ในวัยหนุ่มที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียง นั่นคือการที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบอบ "เขมรแดง" ที่เขาเองได้กลับมาโค่นล้มในภายหลัง
บทวิเคราะห์นี้จะพินิจบทบาทของฮุน เซน ในยุคเขมรแดงอย่างตรงไปตรงมา โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจเส้นทางอันพลิกผัน จากผู้บัญชาการทหารของระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่การเป็นผู้นำคนสำคัญในการปลดปล่อยประเทศ
บทที่ 1: The Young Revolutionary - หนุ่มปฏิวัติแห่งเขตตะวันออก
ในช่วงต้นทศวรรษ 1970s ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองในกัมพูชาและการขยายอิทธิพลของสงครามเวียดนาม ชายหนุ่มจำนวนมากได้เข้าร่วมกับกองกำลังปฏิวัติเขมรแดงเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนายพลลอน นอล ที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ "ฮุน เซน" ในวัยหนุ่มก็เป็นหนึ่งในนั้น
บทบาทและตำแหน่ง: ด้วยความสามารถทางการทหาร เขาได้ไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีตำแหน่งเป็น "ผู้บัญชาการกรมทหาร (Regimental Commander)" ใน "เขตภาคตะวันออก (Eastern Zone)" ของกัมพูชาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเขตที่มีพรมแดนติดกับเวียดนาม
ข้อถกเถียงเรื่องความรับผิดชอบ: นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ไม่มีหลักฐานโดยตรงที่เชื่อมโยงว่าฮุน เซน มีส่วนในการสั่งการสังหารหมู่ในทุ่งสังหารโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บัญชาการทหารระดับกลาง เขาย่อมเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางทหารที่ค้ำจุนและทำให้ระบอบเขมรแดงสามารถดำเนินนโยบายอันโหดร้ายได้ (อ้างอิง: "Hun Sen's Cambodia" โดย Sebastian Strangio) เขตภาคตะวันออกในช่วงแรกถูกมองว่ามีความสุดโต่งน้อยกว่าเขตอื่นๆ แต่ต่อมาก็ได้กลายเป็นเป้าหมายของการกวาดล้างครั้งใหญ่จากส่วนกลาง
บทที่ 2: The Breaking Point - การแตกหักและการลี้ภัยสู่เวียดนาม
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของฮุน เซน เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520 (1977)
การกวาดล้างภายใน: ระบอบของพล พต ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ได้เริ่มทำการ "กวาดล้างภายใน" ครั้งใหญ่ โดยพุ่งเป้ามาที่นายทหารและแกนนำในเขตภาคตะวันออก ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามี "ร่างกายเป็นเขมร แต่หัวใจเป็นเวียดนาม" การกวาดล้างนี้โหดเหี้ยมและนองเลือดอย่างยิ่ง
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์: เมื่อเผชิญหน้ากับความตายที่ใกล้เข้ามาอย่างแน่นอน ในเดือนมิถุนายน ปี 1977 ฮุน เซน พร้อมด้วยนายทหารระดับสูงคนอื่นๆ ในเขตภาคตะวันออก (เช่น เฮง สัมริน และ เจีย ซิม) ได้ตัดสินใจ "ลี้ภัย" โดยการนำกำลังทหารส่วนหนึ่งหนีข้ามพรมแดนเข้าไปยังประเทศเวียดนาม
บทที่ 3: The Return with a New Flag - การกลับมาพร้อมธงผืนใหม่
การลี้ภัยครั้งนั้นได้เปลี่ยนสถานะของฮุน เซน จากนายทหารเขมรแดง ไปสู่หนึ่งในผู้นำของ "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา" ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเพื่อโค่นล้มระบอบพล พต
การรุกรานของเวียดนาม: ในปลายปี 1978 กองทัพเวียดนามได้บุกเข้าสู่กัมพูชา และสามารถยึดกรุงพนมเปญได้ในวันที่ 7 มกราคม 1979 เป็นการปิดฉากยุคทมิฬของเขมรแดงอย่างเป็นทางการ
การก้าวสู่อำนาจ: ฮุน เซน ได้เดินทางกลับเข้ามาพร้อมกับกองทัพเวียดนาม และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลใหม่ คือ "สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา" เขากลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยวัยเพียง 20 กว่าปี และได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการครองอำนาจที่ยาวนานของเขา
บทที่ 4: The Complex Legacy - มรดกที่ซับซ้อนและศาลคดีเขมรแดง
ตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่ในอำนาจ ฮุน เซน ได้สร้างเรื่องเล่าหลัก (Narrative) ของตนเองในฐานะ "ผู้ปลดปล่อยชาติ" ที่ได้ช่วยชีวิตประชาชนกัมพูชาจากระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ความสัมพันธ์กับศาลคดีเขมรแดง (ECCC): รัฐบาลของฮุน เซน ได้ให้ความร่วมมือในการจัดตั้ง "องค์คณะตุลาการพิเศษแห่งศาลกัมพูชา (ECCC)" ซึ่งเป็นศาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ เพื่อไต่สวนความผิดของอดีตผู้นำเขมรแดงระดับสูงสุดที่ยังมีชีวิตอยู่
ข้อวิพากษ์วิจารณ์: อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Human Rights Watch ได้ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลของเขามีบทบาทในการ "จำกัดขอบเขต" ของการไต่สวน ไม่ให้ขยายผลมาถึงอดีตเจ้าหน้าที่เขมรแดงระดับกลาง ซึ่งหลายคนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลและพรรครัฐบาลของเขาในปัจจุบัน
บทสรุป: เงาแห่งประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของฮุน เซน กับเขมรแดง คือเรื่องราวที่ซับซ้อนและไม่สามารถมองเป็นขาวหรือดำได้ ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ: เขาเคยเป็นผู้บัญชาการในกองทัพเขมรแดง และในเวลาต่อมา เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่โค่นล้มระบอบนั้นลง
การทำความเข้าใจในอดีตที่พลิกผันนี้ คือกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจตัวตนของรัฐบุรุษผู้ที่หล่อหลอมและกำหนดทิศทางของประเทศกัมพูชามานานกว่า 3 ทศวรรษ "เงาของเขมรแดง" คือเงาที่เขาเองเคยเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกัน
แหล่งที่มาและอ้างอิง (Sources and References):
"Hun Sen's Cambodia" by Sebastian Strangio
"The Pol Pot Regime: Race, Power, and Genocide in Cambodia under the Khmer Rouge, 1975-79" by Ben Kiernan
The Documentation Center of Cambodia (DC-Cam)
Extraordinary Chambers in the Courts of Cambodia (ECCC)
Human Rights Watch - Reports on Cambodia and the ECCC
บทความที่เกี่ยวข้อง
บทวิเคราะห์เชิงลึกว่าด้วยโศกนาฏกรรม 'เขมรแดง' และทุ่งสังหารแห่งกัมพูชา ตั้งแต่รากความคิดในปารีส, นโยบาย 'ปีศูนย์' ที่โหดร้าย, สู่การล่มสลาย และการแสวงหาความยุติธรรมที่ยาวนานผ่านศาลพิเศษแห่งสหประชาชาติ
4 ส.ค. 2025
ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา เปรียบเสมือนสายน้ำที่ไหลผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีทั้งช่วงเวลาที่ราบรื่นและเชี่ยวกราก จากมรดกทางวัฒนธรรมที่ทับซ้อน สู่บาดแผลทางประวัติศาสตร์ และความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหว มาจนถึงยุคปัจจุบันที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความท้าทายใหม่ ๆ เข้ามาเป็นตัวกำหนดทิศทางของสองชาติเพื่อนบ้าน
4 ส.ค. 2025