แชร์

Solar Trade War: เจาะลึก "สงครามเย็น" ในห่วงโซ่อุปทานโซลาร์เซลล์

IMG_7945.jpeg Miss Kaewthip
อัพเดทล่าสุด: 3 ต.ค. 2025
15 ผู้เข้าชม
พญามังกรแห่งโซลาร์เซลล์: การวิเคราะห์สงครามการค้า การพึ่งพิง และความมั่นคงทางพลังงานในห่วงโซ่อุปทานที่จีนเป็นผู้ครอบงำ
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
รายงานฉบับนี้วิเคราะห์พลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นในปัจจุบัน นั่นคือความตึงเครียดระหว่างความจำเป็นเร่งด่วนของโลกในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดด้วยต้นทุนต่ำ กับความเปราะบางเชิงยุทธศาสตร์ที่เกิดจากการพึ่งพิงห่วงโซ่อุปทานการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ (PV) ที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศจีนเพียงแห่งเดียวอย่างล้นหลาม การครอบงำตลาดของจีน ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐมาอย่างยาวนาน ได้สร้างสภาวะกำลังการผลิตล้นตลาดทั่วโลก ส่งผลให้ราคาแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมาก และเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สภาวะดังกล่าวได้สร้างความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงต่อความมั่นคงทางพลังงาน ความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรม และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของชาติต่างๆ ที่เป็นผู้นำเข้า

บทวิเคราะห์นี้จะชี้ให้เห็นว่า การครอบงำตลาดของจีนไม่ใช่ผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่จงใจสร้างขึ้นเพื่อครองตลาดเทคโนโลยีที่สำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ในการตอบสนองต่อสภาวะนี้ สหรัฐอเมริกาได้ดำเนินยุทธศาสตร์หลายมิติที่ผสมผสานระหว่างการตั้งกำแพงภาษี การให้เงินอุดหนุนเพื่อสร้างอุตสาหกรรมในประเทศผ่านกฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act - IRA) และการใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยอ้างอิงประเด็นสิทธิมนุษยชนผ่านกฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์ (Uyghur Forced Labor Prevention Act - UFLPA) ในทางตรงกันข้าม สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยพยายามสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย กับความพยายามในการฟื้นฟูอธิปไตยทางอุตสาหกรรมผ่านกฎหมายอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Industry Act - NZIA) ซึ่งเป็นแนวทางที่ระมัดระวังกว่า

ผลกระทบจากความตึงเครียดนี้กำลังก่อให้เกิดการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกครั้งใหญ่ โดยมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นสมรภูมิการผลิตที่สำคัญ และจีนได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์สำเร็จรูปไปสู่การส่งออกชิ้นส่วนต้นน้ำ เช่น เวเฟอร์และเซลล์แสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากการที่จีนอาจใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของชาติตะวันตกในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เป็นอิสระ

รายงานฉบับนี้สรุปโดยนำเสนอ "ภาวะสามเส้าด้านพลังงาน" (Energy Trilemma) ซึ่งประกอบด้วย ความเร็ว (Speed) ความมั่นคง (Security) และต้นทุน (Cost) เป็นกรอบในการทำความเข้าใจทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ที่ผู้กำหนดนโยบายและผู้นำในอุตสาหกรรมต้องเผชิญ พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงที่นอกเหนือไปจากการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ การสร้างคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ และการลงทุนอย่างมุ่งเป้าในเทคโนโลยีรุ่นต่อไป เพื่อนำทางในตลาดที่ถูกครอบงำโดยผู้เล่นเพียงรายเดียวนี้

ส่วนที่ 1: พญามังกรผู้ไร้เทียมทาน: กายวิภาคของการครอบงำห่วงโซ่อุปทานโซลาร์เซลล์ของจีน
ส่วนนี้จะวางรากฐานความเป็นจริงของตลาดโซลาร์เซลล์ทั่วโลก นั่นคือการที่จีนควบคุมกระบวนการผลิตที่สำคัญทุกขั้นตอนได้อย่างเบ็ดเสร็จ การวิเคราะห์จะชี้ให้เห็นว่าการครอบงำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญในกลไกตลาด แต่เป็นผลลัพธ์ของยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมระยะยาวที่วางแผนมาอย่างดี โดยมีกำลังการผลิตล้นตลาดและการกดดันด้านราคาเป็นเครื่องมือสำคัญของนโยบายนี้

1.1 จากโพลีซิลิคอนสู่แผงโซลาร์เซลล์: การวัดระดับความเป็นเจ้าตลาด
สถิติได้ฉายภาพการครอบงำตลาดของจีนอย่างชัดเจน ข้อมูลจากหน่วยงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ยืนยันว่าส่วนแบ่งตลาดของจีนในทุกขั้นตอนการผลิตที่สำคัญของแผงโซลาร์เซลล์นั้นสูงเกินกว่า 80% ภายในปี 2023 ส่วนแบ่งเหล่านี้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น โดยจีนครองตลาดการผลิตโพลีซิลิคอน 92%, เวเฟอร์ 98%, เซลล์แสงอาทิตย์ 92% และแผงโซลาร์เซลล์สำเร็จรูป 85% จากการประเมินโครงการที่กำลังก่อสร้าง คาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการผลิตโพลีซิลิคอนและเวเฟอร์ของจีนทั่วโลกจะพุ่งสูงเกือบ 95% ในอนาคตอันใกล้  

การครอบงำนี้ยังขยายไปถึงการบูรณาการในแนวดิ่งของห่วงโซ่อุปทาน โดยจีนเป็นที่ตั้งของซัพพลายเออร์อุปกรณ์การผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ชั้นนำ 10 อันดับแรกของโลก สิ่งนี้สร้างการพึ่งพิงที่ไม่ใช่แค่ต่อผลิตภัณฑ์จากจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องจักรที่จำเป็นต่อการสร้างฐานการผลิตทางเลือกในประเทศอื่นด้วย สถานการณ์นี้ทำให้ความพยายามในการสร้างความเป็นอิสระทางอุตสาหกรรมของชาติตะวันตกเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น  

1.2 ยุทธศาสตร์กำลังการผลิตล้นตลาด: คือกลไก ไม่ใช่ข้อผิดพลาด
ปรากฏการณ์กำลังการผลิตล้นตลาดเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์จีน กำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ของจีนในปัจจุบันสูงกว่าความต้องการของตลาดโลกถึงสองเท่า และคาดว่าจะเติบโตต่อไปอีก ในปี 2023 กำลังการผลิตเซลล์และแผงทั่วโลกเพิ่มขึ้น 550 GW ซึ่งสูงกว่าปริมาณการติดตั้งจริงที่ 440 GW อย่างมาก ช่องว่างระหว่างอุปทานและอุปสงค์มหาศาลนี้เป็นผลโดยตรงจากการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2011  

สภาวะกำลังการผลิตล้นตลาดนี้ไม่ได้เป็นเพียงการคำนวณทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้อย่างจงใจ โดยมีวัตถุประสงค์หลายประการ ได้แก่ การบรรลุการประหยัดจากขนาด (economies of scale) การกดดันราคาในตลาดโลกให้อยู่ในระดับที่บริษัทต่างชาติไม่สามารถแข่งขันได้ และการสร้างสภาวะการพึ่งพิงทั่วโลกที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ได้  

เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจีนได้เริ่มเข้ามาจัดการกับ "การแข่งขันที่ไม่เป็นระเบียบและราคาต่ำ" และส่งเสริมให้โรงงานที่ใช้เทคโนโลยีล้าสมัยออกจากตลาด การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อลดแรงกดดันต่อตลาดต่างประเทศ แต่เป็นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อรวบอำนาจไว้ที่บริษัทเรือธงที่รัฐให้การสนับสนุน ซึ่งจะช่วยรับประกันความอยู่รอดและอำนาจควบคุมในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่าระยะของการ "ยึดครองตลาด" (market capture) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และกำลังเข้าสู่ระยะของ "การควบคุมและใช้ประโยชน์จากตลาด" (market control and exploitation) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาวที่ใหญ่กว่าสำหรับประเทศผู้นำเข้า  

1.3 อาวุธด้านราคา: ขับเคลื่อนการติดตั้งทั่วโลกและทำลายล้างคู่แข่ง
ผลกระทบโดยตรงจากกำลังการผลิตล้นตลาดคือการล่มสลายของราคา ราคาแผงโซลาร์เซลล์ลดลงกว่า 50% ในช่วงปี 2023-2024 และแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ต่ำกว่า 0.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ สิ่งนี้ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นแหล่งพลังงานที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงทั่วโลก และเร่งให้เกิดการติดตั้งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันด้านราคานี้ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ผลิตนอกประเทศจีน ต้นทุนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในยุโรปสูงกว่าในจีนอย่างมีนัยสำคัญ อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ของยุโรปถูกกล่าวว่าอยู่ใน "สถานการณ์ที่เลวร้าย" และแม้แต่บริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับเงินอุดหนุนจากกฎหมาย IRA ก็ยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภาวะอุปทานล้นตลาดทั่วโลก นโยบายของจีนจึงส่งผลกระทบสองด้านในเวลาเดียวกัน คือช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้เร็วขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็บ่อนทำลายขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมของคู่แข่งทางเศรษฐกิจของตน  

1.4 ผู้นำด้านเทคโนโลยี: จาก PERC สู่ TOPCon และอนาคต
การครอบงำของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปริมาณการผลิต แต่ยังรวมถึงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีด้วย ผู้ผลิตจีนกำลังนำพาตลาดโลกเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเซลล์แบบ PERC (Passivated Emitter and Rear Cell) ที่เก่ากว่า ไปสู่เทคโนโลยี TOPCon (Tunnel Oxide Passivated Contact) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ซึ่งคาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70% ในปี 2024 คาดว่าส่วนแบ่งตลาดของ PERC จะลดลงเหลือเพียงเลขหลักเดียวภายในปี 2025  

จีนได้ประกาศแผนการสร้างกำลังการผลิตเซลล์ N-type รุ่นใหม่กว่า 1,000 GW ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตของทั้งโลกรวมกันถึง 17 เท่า ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีนี้ เมื่อรวมกับขนาดการผลิตมหาศาล ได้สร้างกำแพงการเข้าสู่ตลาดที่สูงมากสำหรับคู่แข่ง ซึ่งขณะนี้ต้องพยายามไล่ตามให้ทันทั้งในด้านปริมาณและเทคโนโลยี  

ส่วนที่ 2: ยุทธศาสตร์ตอบโต้ของอเมริกา: การกีดกันทางการค้า การย้ายฐานการผลิต และจุดยืนทางศีลธรรม
ส่วนนี้จะวิเคราะห์การตอบสนองที่ซับซ้อนและบางครั้งก็ขัดแย้งกันเองของสหรัฐอเมริกาต่อการครอบงำของจีน โดยจะแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อสกัดกั้นสินค้าจีน นโยบายอุตสาหกรรมเพื่อสร้างทางเลือกภายในประเทศ และกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อขัดขวางห่วงโซ่อุปทานในบางส่วนไปพร้อมๆ กัน

2.1 กำแพงภาษี: ทศวรรษแห่ง AD/CVD และการต่อต้านการหลบเลี่ยง
สหรัฐอเมริกามีประวัติการดำเนินมาตรการทางการค้าที่ยาวนาน โดยเริ่มจากการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Antidumping and Countervailing Duties - AD/CVD) กับผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์จากจีนตั้งแต่ปี 2012 ต่อมาได้มีการขยายมาตรการเพิ่มเติมด้วยภาษีปกป้อง (Safeguard tariffs) ภายใต้มาตรา 201 และภาษีภายใต้มาตรา 301  

การพัฒนาที่สำคัญคือการไต่สวนเพื่อต่อต้านการหลบเลี่ยงภาษี (anti-circumvention investigation) ซึ่งมุ่งเป้าไปที่บริษัทจีนที่ดำเนินงานในกัมพูชา มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่าการดำเนินงานในประเทศเหล่านี้เป็นการหลบเลี่ยงมาตรการ AD/CVD ที่บังคับใช้กับจีนจริง  

ผลการไต่สวนนี้นำไปสู่การระงับการเก็บภาษีใหม่จากประเทศเหล่านี้เป็นเวลาสองปีโดยคำสั่งประธานาธิบดี เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ ซึ่งมาตรการระงับนี้ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2024 ปัจจุบัน ภาษีในอัตราที่สูงได้ถูกนำมาบังคับใช้อีกครั้ง และยังมีการไต่สวนใหม่ๆ ที่มุ่งเป้าไปยังศูนย์กลางการหลบเลี่ยงภาษีที่เป็นไปได้แห่งอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย ลาว และอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบังคับใช้ภาษีแบบ "ไล่จับ" (whack-a-mole) ที่ต่อเนื่อง  

2.2 เดิมพันครั้งใหญ่กับ IRA: การอุดหนุนเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ
กฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act - IRA) ปี 2022 ถือเป็นหัวใจของนโยบายอุตสาหกรรมสหรัฐฯ กฎหมายฉบับนี้ให้แรงจูงใจทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครดิตภาษีสำหรับการผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing Production Tax Credit - 45X MPTC) และเครดิตภาษีสำหรับการลงทุนในโครงการพลังงานขั้นสูง (Advanced Energy Project Investment Tax Credit - 48C ITC)  

มาตรการ 45X MPTC มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการให้เครดิตเงินสดต่อหน่วยการผลิตสำหรับชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (เช่น 4 เซนต์ต่อวัตต์กระแสตรงสำหรับเซลล์, 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตรสำหรับเวเฟอร์) ซึ่งเป็นการอุดหนุนต้นทุนการดำเนินงานโดยตรง  

ผลกระทบจาก IRA เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ได้มีการประกาศสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่จำนวนมาก ส่งผลให้กำลังการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศพุ่งสูงขึ้นเกือบ 9 เท่า จาก 6.4 GW เป็นเกือบ 56 GW  

2.3 การคว่ำบาตรซินเจียง: กฎหมาย UFLPA และผลกระทบต่อกระแสการค้าโลก
กฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานชาวอุยกูร์ (Uyghur Forced Labor Prevention Act - UFLPA) มีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน 2022 กฎหมายนี้สร้าง "ข้อสันนิษฐานที่หักล้างได้" (rebuttable presumption) ว่าสินค้าใดๆ ที่ผลิตทั้งหมดหรือบางส่วนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (XUAR) ถือว่าผลิตขึ้นโดยการบังคับใช้แรงงานและห้ามนำเข้าสู่สหรัฐอเมริกา  

กฎหมายนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ เนื่องจากในอดีตเขตซินเจียงเป็นแหล่งผลิตโพลีซิลิคอนเกรดโซลาร์ถึง 35-45% ของโลก  

หน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) ได้บังคับใช้ UFLPA อย่างจริงจัง โดยมีการยึดสินค้านำเข้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแผงโซลาร์เซลล์เป็นเป้าหมายหลัก สิ่งนี้ได้สร้างการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับผู้นำเข้า  

2.4 ผลลัพธ์ช่วงแรกและความท้าทายที่ยังคงอยู่ของการผลิตในสหรัฐฯ
แม้ว่ากำลังการผลิตประกอบแผงโซลาร์เซลล์จะขยายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้กฎหมาย IRA แต่การผลิตในส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทาน (โพลีซิลิคอน, แท่งซิลิคอน, เวเฟอร์ และเซลล์) ยังคงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ณ ปลายปี 2025 กำลังการผลิตเซลล์ในประเทศของสหรัฐฯ มีเพียงประมาณ 2 GW ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคการประกอบแผงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  

นโยบายกีดกันทางการค้าทำให้ต้นทุนของแผงโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ สูงกว่าในยุโรปถึงสองถึงสามเท่าแล้ว ภาวะอุปทานล้นตลาดของแผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกจากจีนทั่วโลกได้สร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อโรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐฯ และคุกคามความอยู่รอดในระยะยาว แม้จะได้รับเงินอุดหนุนจาก IRA ก็ตาม  

ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ จึงเป็นนโยบายที่ซับซ้อนและขัดแย้งกันเอง ซึ่งทำให้วัตถุประสงค์ต่างๆ ของตนต้องแข่งขันกันเอง เป้าหมายของ IRA คือการเร่งการใช้พลังงานสะอาดและสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ภาษี (AD/CVD) และการห้ามนำเข้า (UFLPA) กลับทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและจำกัดอุปทานของชิ้นส่วนที่จำเป็น ซึ่งชะลอการติดตั้งและทำให้การผลิตในประเทศมีความสามารถในการแข่งขันน้อยลงในระดับโลก สิ่งนี้สร้างภาวะสามเส้าของลำดับความสำคัญที่แข่งขันกัน ได้แก่ การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (ซึ่งต้องการแผงราคาถูกและมีปริมาณมาก), นโยบายอุตสาหกรรม (ซึ่งต้องการการปกป้อง) และสิทธิมนุษยชน (ซึ่งต้องการการจำกัดห่วงโซ่อุปทาน) สหรัฐฯ กำลังเลือกที่จะให้ความสำคัญกับนโยบายอุตสาหกรรมและสิทธิมนุษยชนมากกว่าความเร็วและต้นทุนที่ต่ำของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสหภาพยุโรป และมีความเสี่ยงที่จะสร้างตลาด "เกาะ" ที่มีต้นทุนสูงและอาจไม่สามารถแข่งขันในระยะยาวได้ในระดับโลก  

ส่วนที่ 3: ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของยุโรป: การสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศกับอธิปไตยทางอุตสาหกรรม
ส่วนนี้จะสำรวจสถานการณ์ที่เปราะบางของสหภาพยุโรป ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทายที่สุดในโลก ทำให้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกโซลาร์เซลล์ของจีน แต่ในขณะเดียวกันก็ตระหนักดีว่าการพึ่งพิงนี้เป็นจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ไม่ต่างจากที่เคยพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในอดีต

3.1 จุดอ่อนของแผน Green Deal: การยอมรับภาวะพึ่งพิงการนำเข้าอย่างสุดขั้ว
สหภาพยุโรปตั้งเป้าหมายที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ได้เกือบ 600 GW ภายในปี 2030 การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมด โดยแผงโซลาร์เซลล์จากจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 95% ของที่ใช้ในสหภาพยุโรป  

สถานการณ์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตัดสินใจเชิงนโยบายโดยตรง ในปี 2018 สหภาพยุโรปได้ยกเลิกภาษีที่เคยใช้กับแผงโซลาร์เซลล์นำเข้าจากจีน ส่งผลให้แผงราคาถูกหลั่งไหลเข้ามาในตลาด ซึ่งแม้จะทำลายผู้ผลิตในยุโรปที่เหลืออยู่ แต่ก็ช่วยเร่งการติดตั้งให้เร็วขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนโดยตรงที่สหภาพยุโรปได้ทำระหว่างนโยบายอุตสาหกรรมกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ  

3.2 กฎหมายอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์: วิสัยทัศน์เพื่อความยืดหยุ่นของยุโรป
การตอบสนองเชิงนโยบายอุตสาหกรรมหลักของสหภาพยุโรปคือ กฎหมายอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Industry Act - NZIA) ซึ่งกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายให้สหภาพยุโรปผลิตเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ เช่น โซลาร์เซลล์ ให้ได้อย่างน้อย 40% ของความต้องการติดตั้งประจำปีภายในปี 2030  

แตกต่างจากมาตรการอุดหนุนการผลิตโดยตรงของ IRA ในสหรัฐฯ NZIA มุ่งเน้นไปที่การสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยผ่านกระบวนการอนุญาตที่รวดเร็วขึ้น การระบุ "โครงการเชิงยุทธศาสตร์ Net-Zero" และที่สำคัญคือ การอนุญาตให้ใช้เกณฑ์ที่ไม่ใช่ราคา (non-price criteria) เช่น ความยั่งยืนและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน ในการประมูลโครงการของรัฐ ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป 30% ของปริมาณการประมูลจะต้องนำเกณฑ์ที่ไม่ใช่ราคาเหล่านี้มาพิจารณา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนผู้ผลิตในยุโรป  

3.3 เครื่องมือป้องกันทางการค้า: การไต่สวนการอุดหนุนและเงาของภาษีใหม่
สหภาพยุโรปกำลังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะใช้เครื่องมือป้องกันทางการค้าอีกครั้ง คณะกรรมาธิการยุโรปได้เริ่มการไต่สวนเพื่อตอบโต้การอุดหนุน (anti-subsidy investigations) ต่อบริษัทจีน โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาด 110 MW ในโรมาเนีย ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการตรวจสอบความได้เปรียบที่ไม่เป็นธรรมในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ  

ในเดือนมิถุนายน 2025 สหภาพยุโรปได้กำหนดภาษีชั่วคราวสำหรับแผงโซลาร์เซลล์จากจีน ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญที่อาจบ่งชี้ถึงการกลับไปใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการทบทวนมาตรการภาษีที่มีอยู่เดิมสำหรับชิ้นส่วนต่างๆ เช่น กระจกโซลาร์ (solar glass) อย่างต่อเนื่อง  

3.4 ปัญหาด้านต้นทุน: การผลิตในยุโรปจะแข่งขันได้หรือไม่?
ความท้าทายพื้นฐานสำหรับสหภาพยุโรปคือเรื่องต้นทุน การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในยุโรปมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในจีนประมาณ 35% การศึกษาล่าสุดพบว่ามีช่องว่างด้านต้นทุนอยู่ที่ 10.3 เซนต์ยูโรต่อวัตต์พีค  

แม้จะมีการใช้เกณฑ์ที่ไม่ใช่ราคาของ NZIA แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างด้านต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญระหว่างแผงที่ผลิตในสหภาพยุโรปกับแผงที่สอดคล้องกับ NZIA แต่ผลิตในประเทศนอกสหภาพยุโรปอื่นๆ (เช่น อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งหมายความว่า NZIA อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแหล่งนำเข้าจากจีนไปยังประเทศอื่น โดยไม่จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตกลับมายังยุโรป  

การบรรลุเป้าหมายการผลิต 30 GW ภายในปี 2030 อาจต้องใช้เงินสนับสนุนปีละ 1.4-5.2 พันล้านยูโร เพื่อครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ซึ่งเป็นภาระทางการเงินที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ นโยบายของสหภาพยุโรปจึงอ่อนแอกว่าและซับซ้อนกว่า IRA ของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งภายในที่ลึกซึ้งกว่าระหว่างเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศกับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม โดยมีความเสี่ยงที่เกณฑ์ "ความยืดหยุ่น" ของ NZIA อาจเป็นประโยชน์ต่อศูนย์กลางการผลิตอื่น ๆ มากกว่าผู้ผลิตในยุโรปเอง  

ส่วนที่ 4: แรงสั่นสะเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่
ส่วนนี้จะสังเคราะห์ผลกระทบทั่วโลกจากพลวัตระหว่างจีนและชาติตะวันตก โดยจะวิเคราะห์ว่าห่วงโซ่อุปทานโซลาร์เซลล์ได้กลายเป็นสมรภูมิหลักของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไร ซึ่งบีบให้เกิดการปรับเปลี่ยนฐานการผลิต กระแสการค้า และการพึ่งพิงเชิงยุทธศาสตร์ทั่วโลก

4.1 ความมั่นคงทางพลังงานในศตวรรษที่ 21: จากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่เซลล์แสงอาทิตย์
กระบวนทัศน์ด้านความมั่นคงทางพลังงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง การให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงของการไหลเวียนของน้ำมันและก๊าซแบบดั้งเดิมกำลังถูกแทนที่ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงเทคโนโลยีและวัตถุดิบสำคัญสำหรับพลังงานหมุนเวียน  

การครอบงำของจีนถูกเปรียบเทียบอย่างชัดเจนกับการที่ยุโรปเคยพึ่งพิงก๊าซจากรัสเซียในอดีต ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการหยุดชะงักของอุปทาน การบิดเบือนราคา และการบีบบังคับทางการเมือง นอกเหนือจากความเสี่ยงด้านอุปทานแล้ว ยังมีความกังวลด้านความมั่นคงของชาติที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับช่องโหว่ของฮาร์ดแวร์ เช่น การค้นพบวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่ที่ไม่ได้ระบุไว้ในเอกสารซึ่งติดตั้งอยู่ในอินเวอร์เตอร์ที่ผลิตในจีน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อสร้างความไม่มั่นคงให้กับโครงข่ายไฟฟ้าจากระยะไกลได้ ประเด็นนี้ยกระดับปัญหาจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจไปสู่ภัยคุกคามด้านความมั่นคงโดยตรง  

4.2 การผงาดขึ้นของ "มินิจีน": เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะสมรภูมิการผลิตแห่งใหม่
เพื่อตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐฯ บริษัทโซลาร์เซลล์ของจีนได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโรงงานผลิตที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเวียดนาม มาเลเซีย และไทย  

ประเทศเหล่านี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของการนำเข้าโซลาร์เซลล์ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2024 นี่ไม่ใช่การกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานอย่างแท้จริง แต่เป็นการเปลี่ยนเส้นทางของห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงถูกควบคุมโดยจีน เพื่อปกปิดแหล่งกำเนิดและหลีกเลี่ยงภาษี  

ปัจจุบัน ยุทธศาสตร์นี้กำลังถูกคุกคามโดยตรงจากมาตรการภาษีต่อต้านการหลบเลี่ยงของสหรัฐฯ ซึ่งอาจบีบให้เกิดการย้ายฐานการผลิตระลอกใหม่ไปยังประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซียและลาว หรือไกลออกไปถึงตะวันออกกลาง  

4.3 กระบวนทัศน์ทางการค้าที่เปลี่ยนไป: การปรับยุทธศาสตร์ของจีนสู่การส่งออกชิ้นส่วนต้นน้ำ
ในขณะที่หลายประเทศ (เช่น สหรัฐฯ และอินเดีย) กำลังสร้างขีดความสามารถในการประกอบแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศ ยุทธศาสตร์การส่งออกของจีนก็กำลังปรับตัวตาม มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าการส่งออกแผงสำเร็จรูปเริ่มคงที่ แต่การส่งออกชิ้นส่วนต้นน้ำอย่างเวเฟอร์และเซลล์กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก  

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เซลล์และเวเฟอร์คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของการส่งออกผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเดียได้กลายเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของเซลล์และเวเฟอร์จากจีนเพื่อป้อนโรงงานประกอบแผงของตนเอง  

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ของจีนเพื่อรักษาการควบคุมในส่วนของห่วงโซ่มูลค่าที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีและใช้เงินลงทุนสูงที่สุด โดยยอมปล่อยขั้นตอนการประกอบขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่า แต่ยังคงรับประกันว่าการพึ่งพิงของทั่วโลกจะยังคงอยู่

4.4 สมรภูมิขัดแย้งแห่งอนาคต: การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อตอกย้ำการครอบงำของตน จีนกำลังพิจารณาที่จะนำเทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์ขั้นสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตเวเฟอร์และแท่งซิลิคอนขนาดใหญ่ เข้าไปอยู่ในบัญชีควบคุมการส่งออก  

มาตรการนี้จะไม่ห้ามการส่งออกตัวเวเฟอร์เอง แต่จะจำกัดการส่งออก อุปกรณ์และความรู้ทางเทคนิค ในการผลิตเวเฟอร์ เนื่องจากจีนควบคุมการผลิตเวเฟอร์โซลาร์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของโลก การเคลื่อนไหวนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามของสหรัฐฯ และยุโรปในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เป็นอิสระและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย  

นี่อาจเป็น "การเดินหมากรุก" ครั้งสำคัญในสงครามการค้าโซลาร์เซลล์ โดยเปลี่ยนความขัดแย้งจากเรื่องภาษีสินค้าไปสู่การจำกัดปัจจัยพื้นฐานในการผลิต ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่จำกัดการส่งออกอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน สงครามการค้าโซลาร์เซลล์จึงเป็นต้นแบบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคตเกี่ยวกับเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งมีการยกระดับการตอบโต้กันไปมาจากภาษีสินค้าไปสู่การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิต  

ส่วนที่ 5: ภาพอนาคตเชิงยุทธศาสตร์และข้อเสนอแนะ: การนำทางในตลาดที่มีการกระจุกตัวสูง
ส่วนสุดท้ายนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้สำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม โดยมีกรอบความคิดจากความสัมพันธ์ที่ต้องแลกเปลี่ยนกันระหว่างความเร็วของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และต้นทุนของพลังงาน

5.1 ภาวะสามเส้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง: ความเร็ว ความมั่นคง และต้นทุน
การวิเคราะห์นี้จะนำเสนอกรอบภาวะสามเส้าเชิงยุทธศาสตร์ (strategic trilemma) ซึ่งเป็นหัวใจของความท้าทายในปัจจุบัน:

ความเร็ว (Speed): ความเร่งด่วนของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องการการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งตลาดที่ถูกครอบงำโดยจีนในปัจจุบันสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ดีที่สุด เนื่องจากมีปริมาณแผงราคาถูกมหาศาล  

ความมั่นคง (Security): ความมั่นคงของชาติและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจต้องการการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์เพียงรายเดียว  

ต้นทุน (Cost): ความสามารถในการจ่ายค่าพลังงานของผู้บริโภคและภาคธุรกิจเป็นประเด็นสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งจะถูกบ่อนทำลายโดยนโยบายกีดกันทางการค้าที่ทำให้ราคาพลังงานแสงอาทิตย์สูงขึ้น  

การวิเคราะห์จะแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นแต่ละฝ่ายกำลังให้ความสำคัญกับมุมที่แตกต่างกันของภาวะสามเส้านี้: จีนใช้ประโยชน์จาก ต้นทุน และ ความเร็ว เพื่อสร้างอำนาจต่อรองด้าน ความมั่นคง; สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับ ความมั่นคง โดยยอมเสียสละ ต้นทุน และ ความเร็ว; ในขณะที่สหภาพยุโรปติดอยู่ตรงกลาง พยายามสร้างสมดุลทั้งสามด้านแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก

5.2 ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบาย (สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป)
กระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการย้ายฐานกลับประเทศ: ต้องยอมรับว่าการย้ายฐานการผลิตทั้งห่วงโซ่มูลค่ากลับมาในประเทศทั้งหมดอาจเป็นไปไม่ได้ในระยะสั้นถึงกลาง นโยบายควรเน้นยุทธศาสตร์ "China+N" โดยส่งเสริมความร่วมมือด้านการผลิตกับประเทศพันธมิตร (เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย แม้ว่าในระยะแรกอาจยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบต้นน้ำบางส่วนจากจีน  

การสร้างคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์: เพื่อเป็นกันชนระยะสั้นต่อการหยุดชะงักของอุปทาน รัฐบาลควรพิจารณาสร้างคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์สำหรับแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนสำคัญ คล้ายกับคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์  

การอุดหนุนอย่างมุ่งเป้าที่ส่วนต้นน้ำ: นโยบายอุตสาหกรรม (เช่น IRA และ NZIA) ควรพุ่งเป้าไปที่คอขวดที่สำคัญที่สุดในส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่ โพลีซิลิคอน แท่งซิลิคอน และเวเฟอร์ การอุดหนุนเพียงแค่การประกอบแผงโซลาร์เซลล์ไม่สามารถแก้ปัญหาการพึ่งพิงที่ต้นตอได้  

ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นต่อไป: เพื่อก้าวกระโดดข้ามการครอบงำของจีนในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีการผลักดันการลงทุนครั้งใหญ่จากภาครัฐและเอกชนในเทคโนโลยีรุ่นต่อไป เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์ (perovskites) และกระบวนการรีไซเคิลขั้นสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่ไม่ได้ถูกครอบงำโดยจีน  
 

IMG_7945.jpeg
Miss Kaewthip
Hi
บทความที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับดูแลรักษา Sungrow SG5.0RS ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพเกิน 10 ปี
SKE แนะนำเคล็ดลับการบำรุงรักษาอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS ด้วยตัวเองง่ายๆ ตั้งแต่การดูแลความสะอาด, การระบายอากาศ, ไปจนถึงการตรวจสอบผ่านแอป iSolarCloud
12 ต.ค. 2025
คู่มือเลือกขนาดและจำนวนแผงโซล่าเซลล์สำหรับ Sungrow SG5.0RS
SKE แนะนำวิธีเลือกขนาดและจำนวนแผงโซล่าเซลล์ให้เหมาะสมกับอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS พร้อมหลักการคำนวณ DC Oversizing และข้อควรระวังทางเทคนิค
11 ต.ค. 2025
10 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับ Sungrow SG5.0RS จากผู้ใช้งานจริง
SKE Solar ตอบ 10 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับอินเวอร์เตอร์ Sungrow SG5.0RS ตั้งแต่เรื่องไฟดับ, การต่อแบตเตอรี่, การรับประกัน, ไปจนถึงการใช้งานแอป iSolarCloud
11 ต.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ