เทรด "หุ้น IPO" (หุ้นเข้าใหม่): รวยเร็ว หรือ "เม่าติดดอย"? | SKE

ในวงการตลาดหุ้น ไม่มีอะไรที่ "เร้าใจ" และ "เต็มไปด้วยอารมณ์" เท่ากับการซื้อขาย "หุ้น IPO" (Initial Public Offering) หรือ "หุ้นเข้าใหม่" อีกแล้ว

ข่าวหน้าหนึ่งที่พาดหัวว่า "IPO หุ้น XXX เปิดตลาดวันแรก พุ่ง 200%" หรือ "จอง 10,000 ได้กำไร 30,000 ใน 5 นาที" คือภาพฝันของ "การรวยเร็ว" (Get Rich Quick) ที่ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ (หรือที่เรียกกันว่า "เม่า") ให้กระโจนเข้าสู่ตลาด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข่าวของ "เม่าติดดอย" ที่ไล่ซื้อหุ้น IPO ที่ราคาสูงสุดในวันแรก และต้องขาดทุน 50% ในเวลาไม่กี่เดือน ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่แพ้กัน

คำถามคือ IPO คือ "โอกาสทอง" หรือ "กับดักมรณะ"? บทความนี้จะเจาะลึกกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหุ้น IPO ว่าใครคือ "ผู้ชนะ" ที่แท้จริง และ "เม่าติดดอย" เกิดขึ้นได้อย่างไร

1. IPO คืออะไร? (ทำไมบริษัทต้องทำ)

IPO (Initial Public Offering) คือกระบวนการที่ "บริษัทเอกชน" (Private Company) เสนอขายหุ้นของตนเองต่อ "ประชาชนทั่วไป" (The Public) เป็น "ครั้งแรก" และนำหุ้นนั้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (เช่น SET หรือ MAI)

พูดง่ายๆ คือการ "แปลง" จากบริษัทที่มีเจ้าของไม่กี่คน (เช่น ครอบครัว, ผู้ก่อตั้ง) ให้กลายเป็น "บริษัทมหาชน" ที่ใครๆ ก็สามารถซื้อหุ้นเพื่อร่วมเป็นเจ้าของได้

เป้าหมายหลักของบริษัทที่ทำ IPO: คือการ "ระดมทุน" (Fundraising) ก้อนใหญ่ เพื่อนำเงินไปขยายกิจการ, จ่ายหนี้, หรือลงทุนในโครงการใหม่ๆ

2. "รวยเร็ว" (The IPO Pop): ทำไมราคาวันแรกถึงพุ่ง?

ปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้น IPO "เปิดกระโดด" สูงกว่า "ราคาจอง" (ราคา IPO) ในวันแรกที่เข้าเทรด เรียกว่า **"First-Day Pop"** ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและการตลาด:

1. "ของมีจำกัด" (Scarcity)

หุ้น IPO ที่เสนอขายมีจำนวน "จำกัด" แต่ความต้องการ (Demand) จากนักลงทุนรายย่อยมักจะ "ล้น" (Oversubscribed) เมื่อของมีน้อยแต่คนอยากได้มาก ราคาในวันเปิดเทรดจึงถูกไล่ขึ้นไปสูง

2. การตั้งราคา (Pricing Strategy)

"ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์" (Underwriter) หรือ FA (Financial Advisor) ที่เป็นผู้ช่วยบริษัทขายหุ้น มักมี "แรงจูงใจ" ที่จะตั้งราคา IPO ให้ "ต่ำกว่า" มูลค่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย (Underpricing) เพื่อ:

• ดึงดูดนักลงทุนให้มาจองซื้อ
• สร้าง "ข่าวดี" (Good News) ให้กับหุ้นตัวนั้น เมื่อมันเปิดตัวได้สวย (Pop)
• สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ "ลูกค้ารายใหญ่" (กองทุน, นักลงทุนสถาบัน) ที่ได้หุ้นไป

3. การตลาดและโฆษณา (Hype)

ก่อนเข้าเทรด บริษัทและ Underwriter จะทำการ "Roadshow" และประชาสัมพันธ์อย่างหนัก เพื่อสร้าง "เรื่องเล่า" (Story) ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท สร้างความ "คาดหวัง" (Hype) ให้กับนักลงทุน

"ผู้ชนะ" ที่แท้จริง (เกมนี้ใครได้เปรียบ?)

กลุ่มคนที่ "รวยเร็ว" จาก IPO ที่แท้จริงคือ "กลุ่มคนที่ได้สิทธิ์จองซื้อ" (ผู้ที่ได้ Allotment)

พวกเขาได้หุ้นมาใน "ราคา IPO" (เช่น 10 บาท) และเมื่อตลาดเปิดเทรดวันแรก ราคาอาจ "Pop" ขึ้นไปที่ 15 บาท พวกเขาสามารถ "ขาย" หุ้นนั้นใส่นักลงทุนที่เข้ามาไล่ราคา และทำกำไร 50% ภายในไม่กี่นาที

3. "เม่าติดดอย" (The Trap): กับดักวันแรก

นี่คือ "ความจริง" ที่มือใหม่ส่วนใหญ่ไม่รู้: "เม่า" ที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่ "จอง" หุ้น IPO ได้ แต่คือ "นักลงทุนที่ 'จอง' ไม่ได้ และเข้ามา 'ไล่ราคา' ในวันเทรดวันแรก"

จิตวิทยากับดัก (FOMO - Fear of Missing Out)

ในวันเทรดวันแรก มือใหม่จะเห็นราคาหุ้น "พุ่ง" ไม่หยุด (เช่น จากราคา IPO 10 บาท พุ่งไป 15, 16, 17 บาท) สมองจะเกิดอาการ "กลัวตกรถ" (FOMO) และคิดว่า "มันต้องไปต่อแน่ๆ"

พวกเขาจึงตัดสินใจ "กระโดดเข้าซื้อ" ที่ราคา 17 บาท โดย "ผู้ขาย" ให้พวกเขา ก็คือ "คนที่จองได้" ในราคา 10 บาทนั่นเอง

จุดจบของปาร์ตี้ (The Peak)

เมื่อ "แรงขาย" จากคนที่ได้สิทธิ์จอง (ซึ่งมีกำไรมหาศาลแล้ว) เทขายออกมาจน "หมด" และ "แรงซื้อ" จากเม่าที่ไล่ราคาเริ่มแผ่วลง... ราคาก็จะถึง "จุดสูงสุด" (Peak) ของวัน (เช่น 18 บาท)

หลังจากนั้น ราคาจะเริ่ม "ไหลลง" อย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ซื้อที่ 17 บาท เริ่มขาดทุนและ "Panic Sell" ตกเย็นวันนั้น ราคาอาจปิดที่ 12 บาท

ผลลัพธ์: "เม่า" ที่ซื้อที่ 17 บาท ขาดทุนทันที 29% ภายในวันเดียว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ "การติดดอย"

ระเบิดเวลา "Silent Period" / "Lock-up"

กับดักยังไม่จบแค่วันแรก "ผู้ถือหุ้นเดิม" (เช่น ผู้ก่อตั้ง, กองทุน VC) ที่ถือหุ้นมาตั้งแต่บริษัทยังไม่เข้าตลาด (ซึ่งมีต้นทุนต่ำมาก เช่น 1 บาท) จะถูก "ห้าม" ขายหุ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (เรียกว่า Silent Period หรือ Lock-up Period) ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 6 เดือน ถึง 1 ปี

เมื่อครบกำหนด Lock-up (Time Bomb)

เมื่อ "ครบกำหนด" ห้ามขาย หุ้น "ต้นทุนต่ำ" จำนวนมหาศาลจะพร้อมถูกเทขายออกมาในตลาด นี่คือ "Supply" ที่แท้จริงที่จะกดดันราคาหุ้นให้ "ร่วง" ลงอย่างหนักอีกครั้ง นักลงทุนที่ "ติดดอย" จากวันแรกที่ 17 บาท อาจได้เห็นราคาลงไปเหลือ 5-6 บาท ในอีก 1 ปีต่อมา

4. กลยุทธ์เทรด IPO (ควรทำอย่างไร?)

เมื่อเข้าใจเกมทั้งหมดแล้ว กลยุทธ์ในการรับมือ IPO ควรแบ่งตามสถานการณ์ดังนี้:

สรุป

หุ้น IPO คือ "เครื่องมือระดมทุน" ที่ยอดเยี่ยมสำหรับบริษัท และเป็น "โอกาสทำกำไร" ที่ดีสำหรับ "ผู้ที่ได้สิทธิ์จอง"

แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไปที่ "จองไม่ได้" ตลาด IPO คือ "สมรภูมิ" ที่อันตรายอย่างยิ่ง การกระโดดเข้าไป "ไล่ราคา" ในวันแรกด้วยอารมณ์ "กลัวตกรถ" (FOMO) คือสูตรสำเร็จของการ "ติดดอย" ที่คลาสสิกที่สุด

หากต้องการลงทุนในหุ้น IPO นั้นจริงๆ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ "ความอดทน" รอให้ตลาดเลิกเห่อ แล้วค่อยกลับมาพิจารณาด้วย "เหตุผล" และ "ปัจจัยพื้นฐาน" เมื่อเวลานั้นมาถึง

แหล่งอ้างอิง (References)

1. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). ขั้นตอนการเสนอขายหุ้น IPO. เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
2. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.). (2568). การจองซื้อหลักทรัพย์: IPO. เข้าถึงได้จาก www.sec.or.th

SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!

#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย

© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.