"Money Management" (MM): หัวใจที่แท้จริงของการเทรด (ไม่ใช่เทคนิค) | SKE

"Money Management" (MM): หัวใจที่แท้จริงของการเทรด (ไม่ใช่เทคนิค) | SKE
นักลงทุนมือใหม่ 99% มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ "เทคนิค": "ใช้อินดิเคเตอร์อะไรดี?", "อ่านกราฟยังไงให้แม่น?", "หาสูตรสแกนหุ้น 10 เด้งยังไง?" พวกเขากำลังตามหา "จอกศักดิ์สิทธิ์" (Holy Grail) ที่จะทำให้ชนะทุกครั้ง
แต่ในโลกความจริง เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จทุกคนรู้ดีว่า "เทคนิค" (การหาจุดเข้าซื้อ) มีความสำคัญเพียง 10% ของเกมทั้งหมด หัวใจที่แท้จริง 90% ที่แยกระหว่าง "ผู้ชนะ" (ที่อยู่รอด) ออกจาก "ผู้แพ้" (ที่ล้างพอร์ต) คือศาสตร์ที่น่าเบื่อที่สุด ที่เรียกว่า "Money Management" (MM) หรือ การบริหารหน้าตัก
"Money Management" ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ช่วยให้ "รวยเร็ว" แต่เป็นกลยุทธ์เดียวที่ช่วย "ป้องกันไม่ให้เจ๊ง" บทความนี้จะเจาะลึกว่า MM คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญกว่าเทคนิคการเทรดใดๆ
1. "กับดัก" ของเทคนิค (ทำไมกลยุทธ์ 90% Win Rate ถึง "เจ๊ง" ได้)
ลองจินตนาการถึงเทรดเดอร์ 2 คน:
- เทรดเดอร์ A (เทคนิคเทพ, MM ห่วย):
- มีระบบเทรดที่แม่นยำมาก ชนะ 9 ครั้งติดต่อกัน ครั้งละ 10% (Win Rate 90%)
- ในครั้งที่ 10 เขามั่นใจมาก จึง "All-in" (ทุ่มสุดตัว) และ "ถัวเฉลี่ยขาลง" (Averaging Down)
- ปรากฏว่าครั้งที่ 10 "แพ้" ขาดทุน -50%
- ผลลัพธ์: ชนะ 9, แพ้ 1... แต่ "เจ๊ง" (ขาดทุนหนัก)
- เทรดเดอร์ B (เทคนิคธรรมดา, MM ยอดเยี่ยม):
- มีระบบเทรดธรรมดา ชนะแค่ 4 ครั้ง แพ้ถึง 6 ครั้ง (Win Rate 40%)
- แต่... ทุกครั้งที่ "แพ้" เขาจำกัดการขาดทุนไว้ที่ -1% (Cut Loss)
- ทุกครั้งที่ "ชนะ" เขาปล่อยให้กำไรเติบโต (Let Profit Run) ได้ครั้งละ +3%
- ผลลัพธ์: (ชนะ 4 x 3% = +12%) - (แพ้ 6 x 1% = -6%) = "กำไรสุทธิ +6%"
เทรดเดอร์ B คือ "ผู้ชนะ" ที่แท้จริง เพราะเขาเข้าใจ "คณิตศาสตร์" ของการอยู่รอด Money Management คือ "เกมรับ" มันคือ "เกราะ" ที่ทำให้พอร์ตทนทานต่อ "ความไม่แน่นอน" ของตลาด
2. 2 เสาหลักของ Money Management (ที่ต้องทำ "ทุกครั้ง")
MM ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน มันคือ "กฎ" 2 ข้อที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด "ก่อน" ที่จะกดซื้อหุ้นทุกครั้ง
เสาหลักที่ 1: "Position Sizing" (จะซื้อกี่บาท? ... ผิด! ต้องถามว่า จะเสียได้กี่บาท?)
นี่คือข้อผิดพลาดอันดับ 1 มือใหม่มักคิดว่า "จะซื้อหุ้นตัวนี้กี่บาทดี?" (เช่น 10,000 หรือ 50,000 บาท) ซึ่งเป็นการตัดสินใจด้วย "อารมณ์"
มืออาชีพจะเริ่มด้วยคำถามว่า: "ถ้าเทรดครั้งนี้แพ้ เรา 'ยอมเสีย' ได้กี่บาท?"
กฎที่นิยมที่สุดคือ "กฎ 1% (The 1% Rule)"
"กฎ 1% (The 1% Rule)"คือการ "จำกัดความเสี่ยง" ในการเทรด 1 ครั้ง (1 Trade) ไว้ที่ "ไม่เกิน 1% ของเงินทุนในพอร์ตทั้งหมด"
ตัวอย่างการคำนวณ:
- เงินทุนในพอร์ตทั้งหมด: 1,000,000 บาท
- ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 1%: 10,000 บาท (นี่คือ "จำนวนเงินสูงสุด" ที่จะเสียได้ ถ้าเทรดครั้งนี้ "แพ้")
สถานการณ์: ต้องการซื้อหุ้น A ที่ราคา 20 บาท วางแผน "ตัดขาดทุน" (Stop Loss) ที่ 18 บาท
- ความเสี่ยงต่อ 1 หุ้น (Risk per Share) = 20 - 18 = 2 บาท
คำถาม: ควรซื้อกี่หุ้น (Position Size)?
สูตร: (ความเสี่ยงที่ยอมได้) / (ความเสี่ยงต่อหุ้น) = 10,000 บาท / 2 บาท = 5,000 หุ้น
สรุป: ต้องซื้อหุ้น A จำนวน 5,000 หุ้น (ใช้เงิน 5,000 x 20 = 100,000 บาท)
ถ้าแผนผิด และราคาลงไป 18 บาท ระบบจะ Stop Loss และจะ "ขาดทุน -10,000 บาท" (เท่ากับ 1% ของพอร์ตพอดี)
ทำไมต้อง 1%? เพราะมันหมายความว่า ต้อง "แพ้" ติดต่อกัน 100 ครั้ง พอร์ตถึงจะ "หมด" (ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้) กฎนี้จึงช่วยขจัด "ความเสี่ยงที่จะล้างพอร์ต" (Risk of Ruin) ออกไปโดยสมบูรณ์
เสาหลักที่ 2: "Risk/Reward Ratio" (R:R) (เทรดนี้ "คุ้ม" ที่จะเสี่ยงไหม?)
หลังจากรู้แล้วว่า "จะเสียเท่าไหร่" (Risk = 1%) คำถามต่อมาคือ "จะได้เท่าไหร่?" (Reward)
Risk/Reward Ratio (R:R) คือการเปรียบเทียบ "ระยะขาดทุน" (จากจุดเข้าถึง Stop Loss) กับ "ระยะทำกำไร" (จากจุดเข้าถึง Take Profit)
| R:R Ratio | ความหมาย | อัตราการชนะ (Win Rate) ที่ "เท่าทุน" |
|---|---|---|
| 1 : 0.5 (เสี่ยง 1 ได้ 0.5) | Scalper ที่ "ตัดกำไร" เร็ว (แต่ตัดขาดทุนลึก) | 67% (ต้องชนะ 2 ใน 3 ครั้ง แค่เพื่อเท่าทุน) |
| 1 : 1 (เสี่ยง 1 ได้ 1) | เสี่ยง 100 บาท เพื่อกำไร 100 บาท | 50% (ต้องชนะครึ่ง/แพ้ครึ่ง) |
| 1 : 3 (แนะนำ) | เสี่ยง 100 บาท เพื่อกำไร 300 บาท | 25% (ชนะ 1 ครั้ง แพ้ 3 ครั้ง = เท่าทุน) |
กฎเหล็กของมือโปร: "ห้ามเทรด หาก R:R ต่ำกว่า 1:2"ก่อนกดซื้อ "ทุกครั้ง" ให้ "วัด" ระยะ Stop Loss (Risk) และ Take Profit (Reward) บนกราฟก่อน
ถ้าจุด Stop Loss อยู่ไกล (เช่น -10%) แต่จุดทำกำไร (แนวต้าน) อยู่ใกล้ (เช่น +5%) -> นี่คือ R:R 1:0.5 -> "จงห้ามเทรด" (Pass) และไปหาหุ้นตัวอื่น
จงเทรดเฉพาะเกมที่ "คณิตศาสตร์" อยู่ข้างเราเท่านั้น
สรุป: MM คือ "ธุรกิจ" ไม่ใช่ "การพนัน"
การเทรดที่ไม่มี Money Management คือ "การพนัน" (Gambling) เพราะไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้
การเทรดที่มี Money Management คือ "การทำธุรกิจ" (Business) เพราะ:
- เรารู้ "ต้นทุน" ที่แน่นอน (Risk 1%)
- เรารู้ "เป้าหมาย" ที่คุ้มค่า (Reward > 2%)
- เรายอมรับ "การขาดทุน" (Small Losses) ว่าเป็น "ค่าใช้จ่าย" ในการดำเนินธุรกิจ
- เรารอ "กำไร" (Big Wins) ที่จะมา "ชดเชย" ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เทคนิค (TA/FA) บอกเราว่า "ควรซื้อหุ้นตัวไหน" แต่ Money Management (MM) บอกเราว่า "จะทำอย่างไรให้รอด" และ "จะทำอย่างไรให้กำไร" ในระยะยาว
หน้าที่แรกของเทรดเดอร์ ไม่ใช่ "การหาหุ้น" แต่คือ "การบริหารความเสี่ยง"
แหล่งอ้างอิง (References)
- Tharp, V. K. (2007). Trade Your Way to Financial Freedom. (หนังสือคลาสสิกด้าน Position Sizing และ MM)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). การบริหารความเสี่ยง (Risk Management). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
- Settrade. (2568). Position Sizing. เข้าถึงได้จาก www.settrade.com
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



