"FOMO" (กลัวตกรถ) vs "FUD" (กลัวข่าวร้าย): คุมอารมณ์ยังไง? | SKE

"FOMO" (กลัวตกรถ) vs "FUD" (กลัวข่าวร้าย): คุมอารมณ์ยังไง? | SKE
ในสมรภูมิตลาดหุ้น ศัตรูที่ "อันตราย" ที่สุด ไม่ใช่ "เจ้ามือ" หรือ "ตลาด" แต่คือ "อารมณ์" ที่อยู่ภายในตัวเทรดเดอร์เอง และในบรรดาอารมณ์ทั้งหมด มี "ปีศาจ" สองตัวที่ทรงพลังที่สุดในการทำลายพอร์ต นั่นคือ **FOMO** และ **FUD**
FOMO และ FUD คือ "สองขั้ว" ของอารมณ์สุดโต่งที่ขับเคลื่อน "พฤติกรรมฝูงแกะ" (Herd Behavior) มันคือสิ่งที่บีบบังคับให้เทรดเดอร์ทำในสิ่ง "ตรงกันข้าม" กับหลักการลงทุนที่ถูกต้อง นั่นคือ "ซื้อแพง" (Buy High) และ "ขายถูก" (Sell Low)
การเข้าใจและ "ควบคุม" สองอารมณ์นี้ คือทักษะ "จิตวิทยาการเทรด" (Trading Psychology) ที่สำคัญที่สุด ที่แยกระหว่าง 90% ของผู้แพ้ ออกจาก 10% ของผู้ชนะ
1. FOMO: "ความโลภ" ที่มาในคราบ "ความกลัว" (กลัวตกรถ)
FOMO (Fear Of Missing Out) หรือ "ความกลัวตกรถ" คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์เห็น "คนอื่นทำกำไร" จากสินทรัพย์ที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง (เช่น หุ้น IPO, หุ้นปั่น, หรือ Bitcoin)
จิตวิทยาของ FOMO
มันคือ "ความโลภ" (Greed) ที่ปลอมตัวมาเป็น "ความกลัว" สมองจะสั่งการว่า: "ทุกคนกำลังรวยจากหุ้นตัวนี้! ถ้าเราไม่ซื้อ 'ตอนนี้' เราจะ 'พลาด' โอกาสนี้ไปตลอดกาล!"
พฤติกรรมทำลายล้าง: "การไล่ราคา" (Chasing the Price)
เมื่อถูก FOMO ครอบงำ เทรดเดอร์จะ "ละทิ้ง" แผนการทั้งหมด (Stop Loss, R/R, MM) และกระทำการดังนี้:
- "ซื้อแพง" (Buy High): กดซื้อที่ "ยอดดอย" ซึ่งเป็นจุดที่ "ความเสี่ยง" สูงที่สุด
- "All-in": ทุ่มเงินทั้งหมดหรือ "Overtrade" เพราะ "มั่นใจ" ว่ามันจะไปต่อ
- "ไม่สนพื้นฐาน": ซื้อหุ้นโดย "ไม่รู้" ด้วยซ้ำว่าบริษัททำธุรกิจอะไร รู้แค่ว่า "มันกำลังขึ้น"
ผลลัพธ์ของ FOMO: "การติดดอย" (Bag Holding)จุดที่รายย่อย "FOMO" เข้าซื้อ (ยอดดอย) มักจะเป็นจุดเดียวกับที่ "Smart Money" (คนวงใน, กองทุน) ที่ซื้อมาจาก "ต้นน้ำ" กำลัง "เทขาย" ทำกำไร (Sell on News) ผลคือการ "ติดดอย" ที่ราคาสูงสุด และต้องขาดทุนในที่สุด
2. FUD: "ความกลัว" ที่แท้จริง (กลัวข่าวร้าย)
FUD (Fear, Uncertainty, and Doubt) หรือ "ความกลัว, ความไม่แน่นอน, และ ความสงสัย" คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตลาด "ดิ่งลง" อย่างรุนแรง หรือเมื่อมี "ข่าวร้าย" (จริงหรือลวง) แพร่สะพัดในตลาด
จิตวิทยาของ FUD
มันคือ "ความกลัว" (Fear) ที่แท้จริง สมองส่วน "การอยู่รอด" (Survival Instinct) จะถูกกระตุ้น "Loss Aversion" (การกลัวความสูญเสีย) จะทำงานอย่างหนัก สมองจะสั่งการว่า: "ตลาดกำลังจะพัง! ต้องหนี! ต้องขายตอนนี้ ก่อนที่มันจะกลายเป็น 'ศูนย์'!"
พฤติกรรมทำลายล้าง: "การขายตื่นตระหนก" (Panic Selling)
เมื่อถูก FUD ครอบงำ เทรดเดอร์จะ "ละทิ้ง" ตรรกะทั้งหมด และกระทำการดังนี้:
- "ขายถูก" (Sell Low): กดขายหุ้นที่ "ก้นเหว" ซึ่งเป็นจุดที่ "ความเสี่ยง" ต่ำที่สุด (เพราะถูกมาก)
- "ขายทุกราคา": เคาะซ้าย (Hitting the Bid) ขายหุ้นทิ้งในราคา "ขาดทุน" มหาศาล
- "ไม่สนมูลค่า": ขาย "หุ้นดีพื้นฐาน" ทิ้งไปพร้อมกับ "หุ้นเน่า" เพราะ "ความกลัว" ครอบงำทุกอย่าง
ผลลัพธ์ของ FUD: "การขายหมู" (Selling the Bottom)จุดที่รายย่อย "Panic Sell" (ก้นเหว) มักจะเป็นจุดเดียวกับที่ "Smart Money" หรือ "นักลงทุน VI" กำลัง "ทยอยซื้อ" (Accumulate) เพราะพวกเขามองเห็น "มูลค่า" (Value) ในขณะที่คนอื่นกำลัง "กลัว"
3. "วัคซีน" (The Cure): คุมอารมณ์เหล่านี้ยังไง?
ไม่มีใคร "ห้าม" ความรู้สึก FOMO หรือ FUD ได้ (เพราะมันเป็นสัญชาตญาณ) แต่เราสามารถ "ฝึก" ที่จะ "ไม่ทำตาม" (Not Acting) อารมณ์เหล่านั้นได้ นี่คือ 4 "เกราะป้องกัน" ที่เทรดเดอร์ 10% ใช้
1. "แผนการเทรด" (The Trading Plan) - เกราะหลัก
นี่คือ "วัคซีน" ที่ดีที่สุด ต้อง "วางแผน" ในขณะที่ "ไม่มีอารมณ์" (เช่น ตอนกลางคืน หรือ วันเสาร์-อาทิตย์) แผนนี้ต้องตอบคำถาม 4 ข้อ "ก่อน" เทรดเสมอ:
Trading Plan Checklist:
- 1. จุดเข้า (Entry): จะ "ซื้อ" ที่ราคาเท่าไหร่? (เช่น ซื้อที่แนวรับ 10 บาท, ไม่ใช่ไล่ราคาที่ 15 บาท)
- 2. จุดหนี (Stop Loss): จะ "ขายขาดทุน" ที่ราคาเท่าไหร่? (เช่น 9.50 บาท)
- 3. จุดทำกำไร (Take Profit): จะ "ขายทำกำไร" ที่ราคาเท่าไหร่? (เช่น แนวต้าน 12 บาท)
- 4. ขนาด (Position Sizing): จะ "เสี่ยง" กี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต? (เช่น กฎ 1-2%)
- เมื่อ FOMO มา (หุ้นพุ่งไป 15 บาท): แผนบอกให้ "รอ" ซื้อที่ 10 บาท -> "ห้ามเทรด"
- เมื่อ FUD มา (หุ้นดิ่งไป 9.80 บาท): แผนบอกให้ "Stop" ที่ 9.50 บาท -> "ยังไม่ขาย"
แผนการเทรด คือ "สมองส่วนเหตุผล" (Logic) ที่เขียนไว้ล่วงหน้า เพื่อ "สู้" กับ "สมองส่วนอารมณ์" (Emotion) ในสนามรบจริง
2. Money Management (MM) - เกราะป้องกัน "เจ๊ง"
MM คือ "ตัวคุม" ความโลภ (FOMO) ที่ดีที่สุด การยึดมั่นใน "กฎ 1-2%" (เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตต่อไม้) จะ "บังคับ" ไม่ให้ "All-in" แม้ว่าจะ "มั่นใจ" ในหุ้นตัวนั้นแค่ไหนก็ตาม
3. "อดทนรอ" (Patience) - เกราะป้องกัน "ไล่ราคา"
ยอมรับความจริงว่า "เราไม่จำเป็นต้องเทรดทุกวัน" และ "เราจะตกรถไฟเกือบทุกขบวน"
- แก้ FOMO: "ตกรถ ดีกว่า ติดดอย" (Missing a move is better than holding a bag) ให้ "รอ" สัญญาณ "ย่อตัว" (Buy on Dip) หรือ "รอ" สัญญาณ Breakout ใน "รอบถัดไป"
- แก้ FUD: "รอ" ให้ฝุ่นจาง (Wait for the dust to settle) ตลาด Panic Sell มักจะจบลงด้วย "แท่งเทียนกลับตัว" (Reversal Candle) ให้ "รอ" สัญญาณนั้นก่อน
4. "บันทึกการเทรด" (Trading Journal) - เกราะสะท้อนคิด
หลังจากเทรดจบ "ทุกครั้ง" ให้ "จดบันทึก" ว่า "ทำไม" ถึงเข้าเทรด ถ้าคำตอบคือ "เพราะกลัวตกรถ" หรือ "เพราะตกใจข่าว" การเขียนมันลงไป จะช่วย "ตบหน้า" ตัวเอง และลดพฤติกรรมนั้นในอนาคต
สรุป
FOMO และ FUD คือ "ศัตรูภายใน" ที่ทรงพลัง ทั้งสองอารมณ์นี้จะอยู่กับเทรดเดอร์ตลอดไป "ผู้ชนะ" ไม่ใช่คนที่ไม่รู้สึกถึงมัน แต่คือคนที่ "ตระหนักรู้" (Aware) ว่าอารมณ์กำลังเกิดขึ้น และมี "ระบบ" (Trading Plan) ที่แข็งแกร่งพอที่จะ "ไม่ทำตาม" มัน
แหล่งอ้างอิง (References)
- Douglas, M. (2000). Trading in the Zone. (หนังสือ "ไบเบิ้ล" ด้านจิตวิทยาการเทรด)
- Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow. (อธิบายการทำงานของสมองที่นำไปสู่ FOMO และ Loss Aversion)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). จิตวิทยาการลงทุน (Investor Psychology). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



