สงครามพลังงานยุคใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์ของ 'ซิลิคอน' และสมรภูมิมหาอำนาจใต้แสงอาทิตย์
อัพเดทล่าสุด: 3 ส.ค. 2025
109 ผู้เข้าชม

สงครามพลังงานยุคใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์ของ 'ซิลิคอน' และสมรภูมิมหาอำนาจใต้แสงอาทิตย์ (ฉบับวิเคราะห์เชิงลึก)
บทนำ:
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ขนานนามให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็น "ราชาแห่งตลาดไฟฟ้า" และเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ราคาที่เข้าถึงง่ายนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามกลไกตลาด มันคือผลลัพธ์ของนโยบายอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์, การแข่งขันทางเศรษฐกิจ, และการชิงไหวชิงพริบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ
เบื้องหลังแผงโซลาร์เซลล์ทุกแผง คือเรื่องราวของสงครามการค้า, การควบคุมซัพพลายเชน, และเกมการแข่งขันของมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 บทวิเคราะห์นี้ โดย บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จะเจาะลึกเบื้องหลังฉากของสงครามพลังงานยุคใหม่ เพื่อให้คุณเข้าใจว่าแผงโซลาร์หนึ่งแผงที่มาถึงหลังคาบ้านคุณนั้น ผ่านสมรภูมิระดับโลกอะไรมาบ้าง
บทที่ 1: The Rise and Fall of Empires - ประวัติศาสตร์สังเขปของการผลิตโซลาร์เซลล์
รุ่งอรุณที่อเมริกา (1954-1990s): สหรัฐฯ คือผู้ให้กำเนิดเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่ Bell Labs และเป็นผู้นำด้านการวิจัย แต่เน้นการใช้งานในโครงการอวกาศและทางทหารซึ่งมีราคาสูง ทำให้ตลาดในภาคประชาชนไม่เติบโต
ยุคทองของเยอรมนีและญี่ปุ่น (1990s-2000s): การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากนโยบาย "Feed-in Tariff (FIT)" ของเยอรมนีในปี 2000 ซึ่งรับประกันราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในอัตราที่สูงและคงที่นาน 20 ปี นโยบายนี้ได้สร้าง "ตลาดมวลชน" ที่มีเสถียรภาพขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้บริษัทเยอรมันและญี่ปุ่นกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตในยุคนั้น
มังกรจีนผงาด (2008-ปัจจุบัน): รัฐบาลจีนได้กำหนดให้อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์เป็น "อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์" ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 และ 12 (2006-2015) ธนาคารของรัฐได้ปล่อยสินเชื่อมหาศาลให้กับบริษัทอย่าง Suntech Power, Yingli Solar, และ Trina Solar ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถสร้างโรงงานขนาดมหึมา (Economy of Scale) และทุ่มงบประมาณด้าน R&D เพื่อลดต้นทุนการผลิตลงอย่างรวดเร็ว จนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดโลกได้ในที่สุด
บทที่ 2: The Anatomy of a Global Supply Chain - หัวใจที่ชื่อว่า "โพลีซิลิคอน"
การจะเข้าใจอำนาจต่อรองในปัจจุบัน ต้องเข้าใจซัพพลายเชนทั้งระบบ ซึ่งจีนได้สร้างความได้เปรียบในทุกขั้นตอน:
โพลีซิลิคอน (Polysilicon): จากการวิเคราะห์ของ BloombergNEF (BNEF) มากกว่า 95% ของโพลีซิลิคอนสำหรับโซลาร์เซลล์บนโลก ถูกผลิตด้วย "กระบวนการซีเมนส์ (Siemens process)" ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล จีนได้ทุ่มเททรัพยากรจนกลายเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำนี้กว่า 75% ของทั้งโลก โดยมีฐานการผลิตใหญ่ในเขตซินเจียง ซึ่งประเด็นนี้ได้นำไปสู่ข้อกังวลด้านแรงงานและเป็นที่มาของมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น กฎหมาย Uyghur Forced Labor Prevention Act (UFLPA) ของสหรัฐฯ
อินกอตและเวเฟอร์ (Ingots & Wafers): บริษัทจีนอย่าง LONGi และ TCL Zhonghuan ได้บุกเบิกการผลิตเวเฟอร์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline) ขนาดใหญ่ที่ให้ประสิทธิภาพสูง และปัจจุบันควบคุมตลาดเวเฟอร์กว่า 97% ของโลก
เซลล์และโมดูล (Cells & Modules): ด้วยความได้เปรียบจากวัตถุดิบต้นน้ำ ทำให้จีนสามารถผลิตเซลล์และประกอบแผงโซลาร์เซลล์ (โมดูล) ได้ในราคาที่ต่ำที่สุดในโลก
บทที่ 3: The New Battlefield - กำแพงภาษีและสงครามการค้า
สหรัฐฯ และยุโรปพยายามตอบโต้การผูกขาดของจีนผ่านนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ
กำแพงภาษี (Tariffs): สหรัฐฯ ได้ใช้กำแพงภาษี (เช่น Section 201 tariffs และ Anti-Dumping/Countervailing Duties - AD/CVD) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์คือผู้ผลิตจีนได้ย้ายฐานการประกอบโมดูลไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม, มาเลเซีย, และไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
กฎหมายสนับสนุนอุตสาหกรรม (Industrial Acts): กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ปี 2022 ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการให้ "รางวัล" แทน "การลงโทษ" โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการอุดหนุนโดยตรงแก่บริษัทที่ตั้งโรงงานผลิตในอเมริกา รายงานจากบริษัทวิเคราะห์ Wood Mackenzie คาดการณ์ว่า IRA อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนสร้างโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ ได้มากกว่า 100 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
บทที่ 4: The Next Superpowers - สมรภูมิแห่งอนาคต
การแข่งขันทางเทคโนโลยี: สมรภูมิต่อไปคือใครจะสามารถผลิตเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง Perovskite Solar Cells ในเชิงพาณิชย์ได้ก่อนกัน ซึ่ง องค์การการค้าโลก (WTO) ชี้ว่า "สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property - IP)" ของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นสมรภูมิการค้าแห่งใหม่
ภูมิรัฐศาสตร์ของแร่ธาตุ: รายงาน "The Role of Critical Minerals in Clean Energy Transitions" ของ IEA ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงใหม่ โลกอาจเปลี่ยนจากการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง ไปสู่การพึ่งพาแร่ธาตุสำคัญสำหรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น โคบอลต์จากคองโก, นิกเกิลจากอินโดนีเซีย, และลิเธียมจากอเมริกาใต้ ซึ่งจีนเป็นผู้ควบคุมกระบวนการแปรรูปแร่เหล่านี้เกือบทั้งหมด
บทสรุป และความหมายสำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย
ราคาและความพร้อมของแผงโซลาร์เซลล์ที่คุณติดตั้ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในประเทศเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากเกมการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก
การเข้าใจภาพใหญ่เหล่านี้ ทำให้ บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง สามารถให้คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มองแค่ราคา แต่ยังมองถึงเสถียรภาพของซัพพลายเชน, ความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตในระยะยาว, และผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เราไม่ได้แค่ขายแผงโซลาร์, เรานำเสนอความมั่นคงทางพลังงานที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วในระดับโลก เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของคุณจะยั่งยืนและมั่นคงที่สุด
ปรึกษาทีมที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงานโลก
โทร: 045-905-215, 097-051-5871
เว็บไซต์: www.supsaringkan.com
LINE: @760fgpmx
แหล่งที่มาและอ้างอิง (Sources and References):
International Energy Agency (IEA)
International Renewable Energy Agency (IRENA)
BloombergNEF (BNEF)
Wood Mackenzie
World Trade Organization (WTO)
U.S. Department of Energy
บทนำ:
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ขนานนามให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็น "ราชาแห่งตลาดไฟฟ้า" และเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ราคาที่เข้าถึงง่ายนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามกลไกตลาด มันคือผลลัพธ์ของนโยบายอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์, การแข่งขันทางเศรษฐกิจ, และการชิงไหวชิงพริบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ
เบื้องหลังแผงโซลาร์เซลล์ทุกแผง คือเรื่องราวของสงครามการค้า, การควบคุมซัพพลายเชน, และเกมการแข่งขันของมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 บทวิเคราะห์นี้ โดย บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จะเจาะลึกเบื้องหลังฉากของสงครามพลังงานยุคใหม่ เพื่อให้คุณเข้าใจว่าแผงโซลาร์หนึ่งแผงที่มาถึงหลังคาบ้านคุณนั้น ผ่านสมรภูมิระดับโลกอะไรมาบ้าง
บทที่ 1: The Rise and Fall of Empires - ประวัติศาสตร์สังเขปของการผลิตโซลาร์เซลล์
รุ่งอรุณที่อเมริกา (1954-1990s): สหรัฐฯ คือผู้ให้กำเนิดเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ที่ Bell Labs และเป็นผู้นำด้านการวิจัย แต่เน้นการใช้งานในโครงการอวกาศและทางทหารซึ่งมีราคาสูง ทำให้ตลาดในภาคประชาชนไม่เติบโต
ยุคทองของเยอรมนีและญี่ปุ่น (1990s-2000s): การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากนโยบาย "Feed-in Tariff (FIT)" ของเยอรมนีในปี 2000 ซึ่งรับประกันราคารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในอัตราที่สูงและคงที่นาน 20 ปี นโยบายนี้ได้สร้าง "ตลาดมวลชน" ที่มีเสถียรภาพขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้บริษัทเยอรมันและญี่ปุ่นกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตในยุคนั้น
มังกรจีนผงาด (2008-ปัจจุบัน): รัฐบาลจีนได้กำหนดให้อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์เป็น "อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์" ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 และ 12 (2006-2015) ธนาคารของรัฐได้ปล่อยสินเชื่อมหาศาลให้กับบริษัทอย่าง Suntech Power, Yingli Solar, และ Trina Solar ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถสร้างโรงงานขนาดมหึมา (Economy of Scale) และทุ่มงบประมาณด้าน R&D เพื่อลดต้นทุนการผลิตลงอย่างรวดเร็ว จนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดโลกได้ในที่สุด
บทที่ 2: The Anatomy of a Global Supply Chain - หัวใจที่ชื่อว่า "โพลีซิลิคอน"
การจะเข้าใจอำนาจต่อรองในปัจจุบัน ต้องเข้าใจซัพพลายเชนทั้งระบบ ซึ่งจีนได้สร้างความได้เปรียบในทุกขั้นตอน:
โพลีซิลิคอน (Polysilicon): จากการวิเคราะห์ของ BloombergNEF (BNEF) มากกว่า 95% ของโพลีซิลิคอนสำหรับโซลาร์เซลล์บนโลก ถูกผลิตด้วย "กระบวนการซีเมนส์ (Siemens process)" ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล จีนได้ทุ่มเททรัพยากรจนกลายเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำนี้กว่า 75% ของทั้งโลก โดยมีฐานการผลิตใหญ่ในเขตซินเจียง ซึ่งประเด็นนี้ได้นำไปสู่ข้อกังวลด้านแรงงานและเป็นที่มาของมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น กฎหมาย Uyghur Forced Labor Prevention Act (UFLPA) ของสหรัฐฯ
อินกอตและเวเฟอร์ (Ingots & Wafers): บริษัทจีนอย่าง LONGi และ TCL Zhonghuan ได้บุกเบิกการผลิตเวเฟอร์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline) ขนาดใหญ่ที่ให้ประสิทธิภาพสูง และปัจจุบันควบคุมตลาดเวเฟอร์กว่า 97% ของโลก
เซลล์และโมดูล (Cells & Modules): ด้วยความได้เปรียบจากวัตถุดิบต้นน้ำ ทำให้จีนสามารถผลิตเซลล์และประกอบแผงโซลาร์เซลล์ (โมดูล) ได้ในราคาที่ต่ำที่สุดในโลก
บทที่ 3: The New Battlefield - กำแพงภาษีและสงครามการค้า
สหรัฐฯ และยุโรปพยายามตอบโต้การผูกขาดของจีนผ่านนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ
กำแพงภาษี (Tariffs): สหรัฐฯ ได้ใช้กำแพงภาษี (เช่น Section 201 tariffs และ Anti-Dumping/Countervailing Duties - AD/CVD) มาอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์คือผู้ผลิตจีนได้ย้ายฐานการประกอบโมดูลไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม, มาเลเซีย, และไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
กฎหมายสนับสนุนอุตสาหกรรม (Industrial Acts): กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ปี 2022 ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการให้ "รางวัล" แทน "การลงโทษ" โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการอุดหนุนโดยตรงแก่บริษัทที่ตั้งโรงงานผลิตในอเมริกา รายงานจากบริษัทวิเคราะห์ Wood Mackenzie คาดการณ์ว่า IRA อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนสร้างโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ ได้มากกว่า 100 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
บทที่ 4: The Next Superpowers - สมรภูมิแห่งอนาคต
การแข่งขันทางเทคโนโลยี: สมรภูมิต่อไปคือใครจะสามารถผลิตเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง Perovskite Solar Cells ในเชิงพาณิชย์ได้ก่อนกัน ซึ่ง องค์การการค้าโลก (WTO) ชี้ว่า "สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property - IP)" ของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นสมรภูมิการค้าแห่งใหม่
ภูมิรัฐศาสตร์ของแร่ธาตุ: รายงาน "The Role of Critical Minerals in Clean Energy Transitions" ของ IEA ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงใหม่ โลกอาจเปลี่ยนจากการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง ไปสู่การพึ่งพาแร่ธาตุสำคัญสำหรับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น โคบอลต์จากคองโก, นิกเกิลจากอินโดนีเซีย, และลิเธียมจากอเมริกาใต้ ซึ่งจีนเป็นผู้ควบคุมกระบวนการแปรรูปแร่เหล่านี้เกือบทั้งหมด
บทสรุป และความหมายสำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย
ราคาและความพร้อมของแผงโซลาร์เซลล์ที่คุณติดตั้ง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในประเทศเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากเกมการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก
การเข้าใจภาพใหญ่เหล่านี้ ทำให้ บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง สามารถให้คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มองแค่ราคา แต่ยังมองถึงเสถียรภาพของซัพพลายเชน, ความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตในระยะยาว, และผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เราไม่ได้แค่ขายแผงโซลาร์, เรานำเสนอความมั่นคงทางพลังงานที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วในระดับโลก เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของคุณจะยั่งยืนและมั่นคงที่สุด
ปรึกษาทีมที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงานโลก
โทร: 045-905-215, 097-051-5871
เว็บไซต์: www.supsaringkan.com
LINE: @760fgpmx
แหล่งที่มาและอ้างอิง (Sources and References):
International Energy Agency (IEA)
International Renewable Energy Agency (IRENA)
BloombergNEF (BNEF)
Wood Mackenzie
World Trade Organization (WTO)
U.S. Department of Energy
บทความที่เกี่ยวข้อง
SKE วิเคราะห์ข้อเสียด้าน "การลงทุนเริ่มต้นสูง" ของ Sungrow SH25T (Hybrid) ที่แพงกว่า On-Grid และเหตุผลว่าทำไมฟังก์ชัน Peak Shaving และ Backup Power ถึง "คุ้มค่า" ที่จะจ่ายเพิ่ม
SKE วิเคราะห์ Sungrow SH25T และระบบแบตเตอรี่ เป็นคำตอบที่จับต้องได้สำหรับโรงงานที่ต้องการบรรลุเป้าหมาย ESG, ลด Carbon Footprint, และสร้าง Carbon Credit
SKE วิเคราะห์ Sungrow SH25T ช่วยโรงงานขยายไลน์ผลิตโดยไม่ต้องขอไฟเพิ่มหรือเปลี่ยนหม้อแปลงได้อย่างไร ด้วยฟังก์ชัน Peak Shaving อัจฉริยะ ลด Demand Charge
Miss Kaewthip



