10 ข้อผิดพลาด "มหันต์" ที่มือใหม่เทรดหุ้น "เจ๊ง" ทุกราย | SKE

10 ข้อผิดพลาด "มหันต์" ที่มือใหม่เทรดหุ้น "เจ๊ง" ทุกราย | SKE
การเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวัง แต่สถิติชี้ว่ามือใหม่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวและออกจากตลาดไปอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า "เจ๊ง" หรือ "ล้างพอร์ต"
ข่าวดีคือ การ "เจ๊ง" ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เกิดจากข้อผิดพลาดซ้ำๆ ที่สามารถป้องกันได้ บทความนี้คือ "วัคซีน" ที่จะฉีดภูมิคุ้มกัน โดยสรุป 10 ข้อผิดพลาดมหันต์ที่มือใหม่ทุกคนต้องหลีกเลี่ยง โดยจะเจาะลึกไปถึงรากเหง้าของปัญหาและวิธีแก้ไขอย่างละเอียด
1. เทรดโดยไม่มีแผน (ซื้อเพราะ "เขาว่าดี")
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการกด "ซื้อ" หุ้น โดยไม่มีเหตุผลของตัวเองรองรับ ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า อาศัยเพียง "ข่าวลือ", "เพื่อนบอกมา", "เห็นในกลุ่ม Facebook/LINE", หรือ "นักวิเคราะห์เชียร์ออกทีวี" โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้มองหา "ทางลัด" และ "ความแน่นอน" การซื้อตาม "เซียน" หรือ "ข่าววงใน" ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทางลัดที่ไม่ต้องวิเคราะห์เอง และให้ความรู้สึกอุ่นใจ (Herd Behavior หรือ พฤติกรรมแบบฝูงแกะ) ว่ามีคนคิดเหมือนเรา
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นาย A อยู่ในกลุ่ม LINE หุ้นกลุ่มหนึ่ง มีคนพิมพ์ว่า "XYZ มาแน่! วงในบอกเจ้าของจะทำราคาไป 10 บาท" ตอนนั้นราคาหุ้น XYZ อยู่ที่ 5 บาท นาย A กลัวตกรถ (FOMO - Fear of Missing Out) จึงรีบกดซื้อที่ 5 บาท โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า XYZ ทำธุรกิจอะไร งบการเงินเป็นอย่างไร สองวันต่อมา ราคาหุ้นตกลงมาอยู่ที่ 4 บาท นาย A ทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่มีแผนในหัวเลยว่าจะ "ขาย" หรือ "ถือ" เมื่อไหร่
วิธีแก้ไข: สร้าง "แผนการเทรด" (Trading Plan)ต้องสร้าง "แผนการเทรด" (Trading Plan) ของตัวเอง ซึ่งเป็นเหมือน GPS นำทาง ก่อนซื้อหุ้น 1 ตัว ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน:
- เหตุผลที่ซื้อ (Entry Signal): ทำไมถึงซื้อ? (พื้นฐาน หรือ กราฟเทคนิค)
- จุดทำกำไร (Take Profit): จะขายเมื่อไหร่? (เช่น กำไร 15%)
- จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): จะหนีตอนไหน? (เช่น ขาดทุน 5%)
2. ไม่รู้จัก "Stop Loss" (ไม่กล้าตัดขาดทุน)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการปล่อยให้การขาดทุนเล็กน้อย ลุกลามกลายเป็นการขาดทุนมหาศาล เพราะไม่กล้า "ขาย" เพื่อยอมรับว่าตัวเองคิดผิด เป็นการยึดติดกับ "ความหวัง" ว่า "เดี๋ยวมันก็กลับมา"
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "Loss Aversion" (การกลัวความสูญเสีย) งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมพบว่า ความเจ็บปวดจากการ "ขาดทุน" 100 บาท รุนแรงกว่าความสุขจากการ "ได้กำไร" 100 บาท ถึง 2 เท่า! สมองของเราจึงพยายามหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดนี้โดยการ "ไม่ขาย" เพราะตราบใดที่ยังไม่ขาย การขาดทุนนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss)
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นาย B ซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท วางแผนในใจว่าถ้าลงถึง 95 บาทจะขาย (Stop Loss 5%) แต่เมื่อราคาลงมา 95 บาทจริงๆ เขากลับคิดว่า "อีกนิดเดียวน่าจะเด้ง" เขาจึงไม่ขาย ราคาลงต่อไปที่ 90 บาท "โอ้โห ขาดทุน 10% แล้ว ขายไม่ลง" ราคาลงต่อไปที่ 70 บาท "ขาดทุนเยอะขนาดนี้ ถือยาวเป็น VI (นักลงทุนเน้นคุณค่า) ไปเลยแล้วกัน" สุดท้ายหุ้นตัวนั้นอาจเหลือ 50 บาท (ขาดทุน 50%) จากจุดที่ควรจะเสียแค่ 5%
คณิตศาสตร์ที่น่ากลัว:วิธีแก้ไข: จงตัดขาดทุนที่ 5% เพื่อรักษาเงินทุนไว้หาโอกาสหน้า ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง "ก่อน" กดซื้อ และทำตามอย่างมีวินัย
- ถ้าขาดทุน -50% (พอร์ต 100,000 เหลือ 50,000)
- ต้องทำกำไรกลับคืนถึง +100% (จาก 50,000 ไป 100,000) เพื่อให้เท่าทุนเดิม!
3. ถัวเฉลี่ยขาลง (Averaging Down)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการ "ซื้อเพิ่ม" เมื่อหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ราคากำลัง "ลดลง" เพื่อทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นต่ำลง นี่คือการกระทำที่ตรงข้ามกับ Stop Loss โดยสิ้นเชิง และเป็น "หายนะ" ที่แท้จริงของมือใหม่
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
เพราะมันให้ความรู้สึก "ฉลาด" และ "ได้ของถูก" การซื้อที่ 100 บาท แล้วมาซื้อเพิ่มที่ 80 บาท ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยกลายเป็น 90 บาท มันให้ความรู้สึกว่า "ถ้าเด้งกลับไปแค่ 91 บาท เราก็ได้กำไรแล้ว" มันคือการต่อสู้กับ "อัตตา" (Ego) ของตัวเองที่ไม่อยากยอมรับว่าการซื้อครั้งแรกนั้น "ผิด"
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นางสาว C ซื้อหุ้น D ที่ 50 บาท (1,000 หุ้น = 50,000 บาท) ราคาลงมาที่ 40 บาท เธอคิดว่า "ของดียิ่งถูก" เลยซื้อเพิ่มอีก 1,000 หุ้น (40,000 บาท) ตอนนี้เธอมี 2,000 หุ้น ที่ต้นทุนเฉลี่ย 45 บาท (ใช้เงินไป 90,000 บาท) ราคาลงต่อไปที่ 30 บาท ตอนนี้เธอขาดทุน (45 - 30) x 2,000 = 30,000 บาท! เธอได้เพิ่ม "ความเสี่ยง" เป็นสองเท่าในหุ้นที่พิสูจน์แล้วว่า "ขาลง" นี่คือการโยนเงินดีไล่ตามเงินเลว
วิธีแก้ไข: ห้าม!"อย่าถัวเฉลี่ยหุ้นขาลงเด็ดขาด" กฎเหล็กคือ "จงตัดขาดทุน" (Mistake 2) หุ้นที่กำลังลง แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ มืออาชีพจะ "ถัวเฉลี่ยขาขึ้น" (Averaging Up) คือซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นวิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มน้ำหนักใน "ผู้ชนะ" ไม่ใช่ "ผู้แพ้"
4. ทุ่มสุดตัว "All-in" ในหุ้นตัวเดียว
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการนำเงินลงทุนทั้งหมดที่มี (เช่น มี 100,000 บาท) ไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว เพราะ "มั่นใจ" หรือ "โลภ" อยากรวยเร็ว
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
ความโลภ (Greed) และ ความมั่นใจเกินเหตุ (Overconfidence) มือใหม่มักประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป และประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป การ "All-in" ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนแทงพนัน และให้ผลตอบแทนในจินตนาการที่สูงลิ่ว (ถ้าถูกทาง)
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นาย D มีเงินเก็บ 50,000 บาท เขาได้ยิน "ข่าววงใน" ว่าหุ้นตัวหนึ่ง (ที่ทำธุรกิจพลังงานทางเลือก) จะได้งานใหญ่ เขาจึง "All-in" เงินทั้งหมด 50,000 บาทไปที่หุ้นตัวนี้ แต่ปรากฏว่าบริษัท "พลาด" งานนั้น ราคาหุ้นดิ่งลง 30% ในวันเดียว เงินของเขาหายไป 15,000 บาททันที เขาหมดโอกาสที่จะเอาเงินส่วนอื่นไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่า
วิธีแก้ไข: จง "กระจายความเสี่ยง" (Diversification)หลักการพื้นฐานคือ "อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว" สำหรับพอร์ตเริ่มต้น อาจจะแบ่งเงินเป็น 3-5 ส่วน เพื่อซื้อหุ้น 3-5 ตัว ใน "อุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน" เช่น 1 ตัวเป็นธนาคาร, 1 ตัวเป็นค้าปลีก, 1 ตัวเป็นโรงพยาบาล หากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งแย่ พอร์ตโดยรวมก็ยังประคองอยู่ได้
5. เทรดตามอารมณ์ (Fear & Greed)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการปล่อยให้ "ความกลัว" (Fear) และ "ความโลภ" (Greed) มาควบคุมการตัดสินใจ แทนที่จะใช้ "แผนการเทรด" (Mistake 1)
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ สมองส่วน "Limbic System" (อารมณ์) มักจะทำงานเร็วกว่าส่วน "Prefrontal Cortex" (เหตุผล) เมื่อตลาดผันผวน
| อารมณ์ | สถานการณ์และพฤติกรรม |
|---|---|
| ความโลภ (Greed / FOMO) | เกิดขึ้นเมื่อเห็นหุ้นวิ่งขึ้นแรงๆ (ไฟเขียวยาวๆ) สมองจะหลั่งสารโดปามีน ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและ "กลัวตกรถ" จึงไล่ซื้อที่ราคาสูง (ยอดดอย) |
| ความกลัว (Fear / Panic) | เกิดขึ้นเมื่อเห็นหุ้นดิ่งลงแรง (ไฟแดงยาวๆ) สมองจะสั่งให้ "หนี" เพื่อเอาตัวรอด ทำให้ "ตกใจขาย" ที่ราคาต่ำสุด (ก้นเหว) |
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
ตลาดหุ้นกำลังบูม ดัชนีขึ้นทุกวัน (ภาวะ Greed) นาย E ทนไม่ไหว จึงไล่ซื้อหุ้นที่ "ยอดดอย" หลังจากนั้นตลาดปรับฐาน ตกใจ (ภาวะ Fear) เขาจึงรีบ "ขายหมู" หรือ "ขายขาดทุน" ที่ "ก้นเหว" ผลลัพธ์คือ "ซื้อแพง ขายถูก" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิธีแก้ไขและป้องกัน
จงมี "แผน" และ "วินัย" (Mistake 1 + 2) แผนการเทรดที่เขียนไว้ล่วงหน้าคือ "สมองส่วนเหตุผล" ที่เตรียมไว้ใช้ตอนที่ "สมองส่วนอารมณ์" กำลังทำงานผิดพลาด การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้า คือการป้องกันไม่ให้ใช้อารมณ์ตัดสินใจหน้างาน
6. เล่นหุ้นปั่น หรือ ซื้อตาม "เซียน"
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
การเข้าไปยุ่งกับหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย (Low Liquidity), ราคาต่ำ (Penny Stocks), หรือหุ้นที่มีการ "ปั่นราคา" อย่างชัดเจน รวมถึงการ "ลอกการบ้าน" หรือซื้อตาม "เซียน" ในกลุ่มต่างๆ โดยไม่เข้าใจเหตุผล
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
เป็นส่วนผสมของความโลภ (อยากรวยเร็ว 100% ใน 3 วัน) และความขี้เกียจ (ไม่อยากวิเคราะห์เอง) การตาม "เซียน" ให้ความรู้สึกเหมือนมีผู้รู้คอยชี้นำทาง
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
หุ้น F ราคา 1 บาท อยู่ๆ ก็มีปริมาณการซื้อขายมหาศาลและราคาวิ่งไป 1.30 บาท ในวันเดียว (วิ่ง 30%) มือใหม่เห็นดังนั้นจึงกระโดดเข้าไปซื้อ หวังว่ามันจะไป 2 บาท แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือจังหวะที่ "เจ้ามือ" หรือ "คนวงใน" กำลัง "ปล่อยของ" ให้กับรายย่อย พวกเขาทุบขายหุ้นทั้งหมดในมือ ราคาดิ่งกลับมาที่ 0.80 บาทในวันถัดมา มือใหม่ติดดอยและขายไม่ออกเพราะไม่มีคนรับซื้อ (No Bid)
วิธีแก้ไข: อยู่ให้ห่างสำหรับมือใหม่ ให้เริ่มต้นลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งและคนส่วนใหญ่รู้จัก เช่น หุ้นในดัชนี SET50 หรือ SET100 หุ้นเหล่านี้มีพื้นฐานรองรับ มีบทวิเคราะห์ให้อ่าน และยากต่อการ "ปั่นราคา" มากกว่า
7. ไม่เข้าใจต้นทุน (ค่าคอมมิชชั่น)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
การเทรดบ่อยเกินไป (Overtrading) โดยลืมคิด "ต้นทุนแฝง" คือค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission + VAT) ที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ทุกครั้งที่ "ซื้อ" และ "ขาย"
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
ความใจร้อนและความเบื่อ (Impatience & Boredom) การนั่งดูพอร์ตว่างๆ เป็นเรื่องน่าเบื่อ มือใหม่มักรู้สึกว่า "ต้องทำอะไรสักอย่าง" จึงพยายามเทรดเข้า-ออกเพื่อทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ 1-2 ช่องราคา โดยลืมคำนวณต้นทุน
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นาย G ซื้อหุ้น H ราคา 10.00 บาท (1,000 หุ้น = 10,000 บาท) เขารีบขายที่ 10.10 บาท (ได้เงิน 10,100 บาท) กำไรส่วนต่างราคา = 100 บาท แต่... เขาต้องจ่ายค่าคอมฯ ขาซื้อ (ประมาณ 16 บาท) และขาขาย (ประมาณ 16 บาท) รวม = 32 บาท กำไรสุทธิ = 100 - 32 = 68 บาท (นี่ยังไม่นับโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมฯ ขั้นต่ำ 50 บาท!) หากเขาทำแบบนี้แล้วพลาดขาดทุน 1 ช่อง (-100 บาท) เขาจะขาดทุนจริง -100 - 32 = -132 บาท การเทรดบ่อยๆ โดยกำไรไม่มากพอ จะทำให้พอร์ต "รั่ว" จากค่าคอมฯ จนหมดตัว
วิธีแก้ไข: คำนวณก่อนเทรดคำนวณ "จุดคุ้มทุน" (Break-even Point) ก่อนเทรดเสมอ (ปกติหุ้นต้องบวกอย่างน้อย 0.5% - 1% จึงจะเริ่มกำไร) และเลือกโบรกเกอร์ที่ "ไม่มีค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ" หากมีพอร์ตขนาดเล็ก
8. รีบขายหมู ถือหุ้นเน่า (Cut Winners, Hold Losers)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
เป็นข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาคลาสสิก: เมื่อหุ้น "กำไร" (เช่น +5%) จะรีบขายทันทีเพราะกลัวกำไรหาย แต่เมื่อหุ้น "ขาดทุน" (เช่น -20%) กลับทนถือมันได้นานเป็นปีๆ หวังว่ามันจะกลับมา
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
อีกครั้งที่ "Loss Aversion" ทำงาน การ "ขายทำกำไร" (ขายหมู) ให้ความรู้สึก "แน่นอน" และ "มีความสุข" (Certainty) ในขณะที่การ "ขายขาดทุน" (คัทลอส) ให้ความรู้สึก "เจ็บปวด" และ "ยอมรับว่าล้มเหลว" (Pain of Regret) จึงเลือกทำสิ่งที่สบายใจ แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามหลักการก็ตาม
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
พอร์ตของนาย H มีหุ้น 2 ตัว:
| สถานะหุ้น | พฤติกรรมของมือใหม่ | ผลลัพธ์ที่แท้จริง |
|---|---|---|
| หุ้น A (ผู้ชนะ): กำไร +10% | รีบขาย (ขายหมู) เพราะกลัวกำไรหาย | สองเดือนต่อมา หุ้น A วิ่งไปอีก +100% |
| หุ้น B (ผู้แพ้): ขาดทุน -30% | ทนถือ (ถือหุ้นเน่า) เพราะไม่อยากยอมรับว่าคิดผิด | สองเดือนต่อมา หุ้น B ขาดทุน -60% |
ผลลัพธ์: พอร์ตโดยรวม "ขาดทุน" เพราะกำไรคำเล็กๆ ไม่สามารถชดเชยการขาดทุนคำโตๆ ได้
วิธีแก้ไข: ทำกลับกัน"Let your winners run, Cut your losers short" (ปล่อยให้กำไรเติบโต, รีบตัดขาดทุน)
ใช้ "Trailing Stop" กับหุ้นที่กำไร (เช่น ตั้ง Stop Loss ตามไปเรื่อยๆ เมื่อหุ้นขึ้น) เพื่อให้มันมีโอกาสเติบโต แต่ยังคงปกป้องกำไรไว้ และ "มีวินัย" กับ Stop Loss (Mistake 2) กับหุ้นที่ขาดทุน
9. เทรดล้างแค้น (Revenge Trading)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
คือการกระโดดกลับเข้าไปเทรด "ทันที" หลังจากที่เพิ่งขาดทุนหนัก (เช่น เพิ่งโดน Stop Loss) โดยมีเป้าหมายเพื่อ "เอาคืน" ตลาด หรือ "เอาทุนคืน" โดยเร็วที่สุด
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
ความโกรธ (Anger) และ อัตตา (Ego) เมื่อเสียเงิน จะรู้สึกเหมือนโดน "ตบหน้า" จึงอยาก "เอาคืน" ทันที การเทรดล้างแค้นไม่ใช่การเทรดด้วยเหตุผล แต่เป็นการเทรดด้วยอารมณ์โกรธล้วนๆ
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นางสาว J โดน Stop Loss หุ้น K ขาดทุนไป 5,000 บาท เธอโกรธมากและรู้สึกว่า "ตลาดโกง" เธอจึงรีบเปิดกราฟหุ้นตัวอื่นและ "All-in" (Mistake 4) ในตัวถัดไปทันที โดยไม่มีแผน (Mistake 1) เพื่อหวังจะได้ 5,000 บาทคืนเร็วๆ ผลคือเธอขาดทุนซ้ำซ้อนอีก 10,000 บาท กลายเป็นการขาดทุนหนักกว่าเดิม
วิธีแก้ไข: "เมื่อขาดทุนหนัก จงลุกออกจากจอ"นี่คือกฎที่สำคัญมาก หากเพิ่งโดน Stop Loss หรือขาดทุนหนัก ให้ "ปิดโปรแกรม Streaming" ทันที ลุกไปเดินเล่น, ดื่มน้ำ, หรือหยุดเทรดไปเลยในวันนั้น ตลาดหุ้นเปิดทุกวันทำการ โอกาสมีเสมอ อย่าเทรดในขณะที่อารมณ์ยังขุ่นมัว
10. ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด (No Trading Journal)
ข้อผิดพลาดนี้คืออะไร?
ข้อผิดพลาด 1-9 สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้แต่มืออาชีพ แต่ข้อผิดพลาดที่ "มหันต์" ที่สุด คือการทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เคยจดบันทึก หรือทบทวนว่าตัวเองพลาดเพราะอะไร
ทำไมมือใหม่ถึงทำพลาด? (จิตวิทยา)
ความขี้เกียจ และการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (Avoidance) การกลับไปดูข้อผิดพลาดของตัวเอง (เช่น ดูว่าทำไมถึงขาดทุน) มัน "เจ็บปวด" สมองจึงไม่อยากทำ
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (เจ๊งอย่างไร)
นาย K ขาดทุนเพราะ "ถัวเฉลี่ยขาลง" (Mistake 3) ในเดือนมกราคม พอเดือนมีนาคม เขาเจอสถานการณ์คล้ายกัน เขาก็ยัง "ถัวเฉลี่ยขาลง" อีก เพราะเขาไม่เคยจดบันทึกหรือสรุปบทเรียนว่า "ครั้งที่แล้วที่ทำแบบนี้ ผลลัพธ์คือหายนะ"
วิธีแก้ไข (ต้องทำ!): ทำ "บันทึกการเทรด" (Trading Journal)นี่คือวิธีเดียวที่จะทำให้พัฒนาและไม่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ไม่ว่าจะในสมุดโน้ต หรือ Excel
สำหรับ ทุกการเทรด ให้บันทึกสิ่งต่อไปนี้:
- หุ้นอะไร? ซื้อ/ขาย วันที่เท่าไหร่? ราคาเท่าไหร่?
- ทำไมถึงซื้อ? (แผนคืออะไร)
- ทำไมถึงขาย? (ผลลัพธ์: ตามแผน / ผิดแผน)
- บทเรียนที่ได้ (Lesson Learned): (เช่น "ขายเร็วไป", "ซื้อเพราะโลภ", "ไม่ยอม Stop Loss")
แหล่งอ้างอิง (References)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). จิตวิทยาการลงทุน (Investor Psychology). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
- Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow. (เกี่ยวกับ Loss Aversion และจิตวิทยาการตัดสินใจ)
- Settrade. (2568). Risk Management for Trading. เข้าถึงได้จาก www.settrade.com
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.). (2568). ข้อควรระวังในการลงทุน. เข้าถึงได้จาก www.sec.or.th
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



