"ถือทนรวย" (Let Profit Run) vs "ทนดอย" (Let Loss Run): ทำไมมันยากจัง? | SKE

"ถือทนรวย" (Let Profit Run) vs "ทนดอย" (Let Loss Run): ทำไมมันยากจัง? | SKE
นี่คือ "ปฏิทรรศน์" (Paradox) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็น "สาเหตุหลัก" ที่ทำให้เทรดเดอร์ 90% "ล้มเหลว"
ลองถามเทรดเดอร์ที่ขาดทุนดู พวกเขาส่วนใหญ่จะบอกเล่าเรื่องราว 2 รูปแบบ:
- "ขายหมู" (Cutting Winners Short): ซื้อหุ้น A ที่ 50 บาท พอขึ้นไป 55 บาท (กำไร 10%) ก็ "รีบขาย" ทันที... จากนั้นก็ต้องทนมองมันวิ่งต่อไปที่ 100 บาท
- "ทนดอย" (Letting Losers Run): ซื้อหุ้น B ที่ 50 บาท พอมันลงไป 45 บาท (ขาดทุน 10%) ก็ "ทนถือ" เพราะ "หวัง" ว่ามันจะเด้ง... สุดท้ายมันลงไปเหลือ 20 บาท
ทำไมสมองของเราถึง "ตั้งโปรแกรม" มาแบบ "กลับหัวกลับหาง"? ทำไมเราถึง "อดทน" กับ "การขาดทุน" ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับ "ไม่อดทน" กับ "การทำกำไร" เลย?
คำตอบคือ สมองของมนุษย์ "ไม่ได้" ถูกวิวัฒนาการมาเพื่อ "เทรดหุ้น" บทความนี้จะเจาะลึกจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง และ "วิธีแก้" ปมที่อันตรายที่สุดนี้
1. "Prospect Theory": จิตวิทยาที่ "บังคับ" ให้เราแพ้
Daniel Kahneman ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ไว้ใน "Prospect Theory" ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ "ไร้เหตุผล" อย่างเป็นระบบ เมื่อต้องเจอกับ "ความเสี่ยง"
ทฤษฎีนี้มี 2 เสาหลักที่อธิบายทุกอย่าง:
- "Loss Aversion" (การกลัวความสูญเสีย): สมอง "เจ็บปวด" จากการ "ขาดทุน 1,000 บาท" มากกว่า "มีความสุข" จากการ "ได้กำไร 1,000 บาท" ถึง 2 เท่า!
- "Certainty Effect" (ผลกระทบจากความแน่นอน): เรา "รัก" "กำไรที่แน่นอน" (แม้จะน้อย) และ "เกลียด" "การขาดทุนที่แน่นอน" (แม้จะน้อย)
เมื่อนำ 2 สิ่งนี้มาใส่ในตลาดหุ้น "หายนะ" ก็บังเกิด:
| สถานการณ์ | สมองส่วน "อารมณ์" สั่งการ (ผิดพลาด) | ผลลัพธ์ (พฤติกรรม 90% ที่เจ๊ง) |
|---|---|---|
| สถานการณ์ A: "มีกำไร" (กำไร +10% ยังไม่ขาย) |
"ฉัน 'กลัว' (Fear) ว่ากำไร 10% นี้จะหายไป" (Loss Aversion) "ฉัน 'ต้องการ' (Greed) 'กำไรที่แน่นอน' (Certainty) ตอนนี้" |
"ขายหมู" (Cut Winners Short) เลือก "ความสุขเล็กน้อยที่แน่นอน" แทนที่จะ "อดทน" เพื่อ "ความสุขที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่แน่นอน" |
| สถานการณ์ B: "กำลังขาดทุน" (ขาดทุน -10% ยังไม่ขาย) |
"ฉัน 'เกลียด' การ 'ขาดทุนที่แน่นอน' (Certain Loss) (การ Stop Loss มันเจ็บปวด)" "ฉันจึงเลือก 'ความไม่แน่นอน' (Uncertainty) ที่มาพร้อม 'ความหวัง' (Hope) ว่า 'เดี๋ยวมันก็เด้ง'" |
"ทนดอย" (Let Losers Run) เลือก "ความหวังลมๆ แล้งๆ" (ที่มักจบด้วยการขาดทุนหนักกว่าเดิม) เพื่อ "หลีกเลี่ยง" "ความเจ็บปวดเล็กน้อยที่แน่นอน" (Stop Loss) |
2. เจาะลึก "ทนดอย" (Letting Losses Run)
การ "ทนดอย" คือพฤติกรรมที่ "ทำลายล้าง" พอร์ตมากที่สุด มันคือการเปลี่ยน "บาดแผลเล็กน้อย" (Small Cut) ให้กลายเป็น "แผลฉกรรจ์" (Mortal Wound)
อารมณ์ที่ขับเคลื่อน: "ความหวัง" (Hope) และ "อัตตา" (Ego)พฤติกรรมหายนะที่ตามมา: "การถัวเฉลี่ยขาลง" (Averaging Down)
- ความหวัง: เทรดเดอร์ "สวดภาวนา" (Praying) ให้ราคากลับมาที่ทุน แทนที่จะ "วิเคราะห์" (Analyze) ความจริงตรงหน้า
- อัตตา: การ "ตัดขาดทุน" (Cut Loss) คือการ "ยอมรับอย่างเป็นทางการ" ว่า "เราคิดผิด" อัตตาของมนุษย์เกลียดการยอมรับผิด จึงเลือกที่จะ "ถือต่อ" เพื่อ "พิสูจน์" ว่าตัวเองถูก (แม้ว่าหลักฐานจะตรงกันข้าม)
"ยาแก้" (The Antidote) สำหรับ "ทนดอย"
ยาแก้สำหรับ "ความหวัง" คือ "คณิตศาสตร์" ที่ไร้อารมณ์
คือ "Static Stop Loss" (จุดตัดขาดทุนคงที่)
นี่คือ "แผนการหนี" ที่ "ต้อง" กำหนด "ก่อน" กดซื้อ (ตามหลัก Money Management และ Risk/Reward) มันคือการ "ตัดสินใจล่วงหน้า" ด้วย "เหตุผล" (Logic) เพื่อป้องกัน "อารมณ์" (Hope) ที่จะเข้ามาครอบงำในอนาคต
3. เจาะลึก "ขายหมู" (Cutting Winners Short)
การ "ขายหมู" ไม่ได้ทำให้ "เจ๊ง" ในทันที แต่มัน "รับประกัน" ว่าจะ "ไม่รวย" ในระยะยาว เพราะ "กำไรคำเล็กๆ" (Small Wins) จะ "ไม่มีทาง" ชดเชย "การขาดทุนคำโต" (Big Loss) ที่เกิดจากการ "ทนดอย" แม้เพียงครั้งเดียวได้
อารมณ์ที่ขับเคลื่อน: "ความกลัว" (Fear) และ "ความโลภระยะสั้น" (Greed)
- ความกลัว: "กลัว" ว่ากำไรที่เห็น (Unrealized Profit) จะ "หายไป" (Loss Aversion) สมองจึงสั่งให้ "รีบล็อค" กำไรที่ "แน่นอน" (Certainty) นั้นไว้
- ความโลภ: ความรู้สึก "ดี" (Dopamine Rush) ที่ได้จากการ "กดขายแล้วได้กำไร" (แม้จะแค่ 1%) ทำให้เทรดเดอร์ "เสพติด" การ "ถูก" (Being Right) มากกว่า "การทำเงิน" (Making Money)
"ยาแก้" (The Antidote) สำหรับ "ขายหมู"
ยาแก้สำหรับ "ความกลัว" คือ "ระบบ" ที่ช่วยรันเทรนด์โดยอัตโนมัติ
คือ "Trailing Stop" (จุดตัดขาดทุนแบบเลื่อนตาม)
นี่คือ "กฎ" ที่ "บังคับ" ให้เรา "ถือทนรวย" (Let Profit Run) แต่ในขณะเดียวกันก็ "ปกป้อง" กำไรที่ได้มา มันคือการ "ขจัดอารมณ์" ออกจาก "การขายทำกำไร" (เช่น ใช้เส้น Moving Average เป็น Trailing Stop หรือตั้งค่า % อัตโนมัติ)
4. สรุป: "กลับหัว" สมอง (Invert Your Brain)
เทรดเดอร์ 90% ที่ล้มเหลว ทำพฤติกรรม 2 อย่างนี้:
- "อดทน" กับ "หุ้นที่ขาดทุน" (Patient with Losers)
- "ใจร้อน" กับ "หุ้นที่กำไร" (Impatient with Winners)
เทรดเดอร์ 10% ที่ประสบความสำเร็จ ทำ "ตรงกันข้าม" ทั้งหมด:
"วิธีคิด" ของมืออาชีพ (The Professional Mindset)
- "ใจร้อน" กับ "หุ้นที่ขาดทุน" (Impatient with Losers):
พวกเขา "เกลียด" การขาดทุน และจะ "ตัด" มันทิ้ง "ทันที" (ด้วย Static Stop Loss) โดย "ไร้อารมณ์" (นี่คือ "ค่าใช้จ่าย" ทางธุรกิจ ไม่ใช่ "ความล้มเหลว")- "อดทน" กับ "หุ้นที่กำไร" (Patient with Winners):
พวกเขา "รัก" หุ้นที่กำไร และจะ "ปล่อย" ให้มันวิ่งไปให้ไกลที่สุด (ด้วย Trailing Stop) พวกเขายอม "คืนกำไร" (Give Back) บางส่วนจากจุดสูงสุด เพื่อ "แลก" กับ "กำไรคำโต" (Big Win)
การ "ถือทนรวย" นั้น "ยาก" เพราะมัน "สวนทาง" กับสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ทางแก้เดียวคือการ "หยุด" เทรดด้วย "ความรู้สึก" และหันมา "เทรดด้วยระบบ" (Mechanical Trading) ที่มี "แผนการหนี" (Stop Loss) และ "แผนการรันเทรนด์" (Trailing Stop) ที่ชัดเจน
แหล่งอ้างอิง (References)
- Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow. (ต้นกำเนิด Prospect Theory, Loss Aversion)
- Douglas, M. (2000). Trading in the Zone. (หนังสือ "ไบเบิ้ล" ด้านจิตวิทยาการเทรด ที่อธิบายการยอมรับความเสี่ยง)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). จิตวิทยาการลงทุน (Investor Psychology). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



