"Trailing Stop" คืออะไร? (วิธีล็อกกำไร...ไม่ให้กลายเป็นขาดทุน) | SKE

"Trailing Stop" คืออะไร? (วิธีล็อกกำไร...ไม่ให้กลายเป็นขาดทุน) | SKE
ปัญหาทางจิตวิทยาที่ "เจ็บปวด" ที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ มีอยู่ 2 อย่าง:
- "ขายหมู" (Selling Too Early): ขายทำกำไรที่ +10% เพียงเพื่อมองดูหุ้นตัวนั้นวิ่งต่อไปอีก +100%
- "กำไรทิพย์" (Letting Profits Become Losses): ถือหุ้นที่กำไร +20% แต่ "โลภ" ไม่ยอมขาย จนสุดท้ายราคาร่วงกลับมา "ขาดทุน" -5%
ทั้งสองปัญหานี้เกิดจากการ "ตัดสินใจด้วยอารมณ์" (ความกลัว และ ความโลภ) ไม่ใช่ด้วย "ระบบ" Trailing Stop (จุดตัดขาดทุนแบบเลื่อนตาม) คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อ "แก้" ปัญหานี้โดยเฉพาะ มันคือกลยุทธ์ที่ช่วยให้ "ปล่อยกำไรไหล" (Let Profit Run) ในขณะเดียวกันก็ "ปกป้อง" (Protect) กำไรที่ได้มา
บทความนี้จะเจาะลึกว่า Trailing Stop คืออะไร, ทำงานอย่างไร, และตั้งค่าแบบไหนให้มีประสิทธิภาพ
1. Trailing Stop คืออะไร? (ต่างจาก Stop Loss ปกติอย่างไร?)
ก่อนอื่น ต้องแยกระหว่าง Stop Loss "ปกติ" กับ "Trailing" Stop:
[Image of a chart comparing a Static Stop Loss vs a moving Trailing Stop Loss]- Static Stop Loss (จุดตัดขาดทุนคงที่): คือ "เส้นตาย" ที่ "ไม่ขยับ" (เช่น ซื้อ 100, Stop 90) มีไว้เพื่อ "ป้องกัน" การขาดทุนหนักเท่านั้น
- Trailing Stop (จุดตัดขาดทุนแบบเลื่อนตาม): คือ "ตาข่ายนิรภัย" ที่ "ขยับตาม" ราคา มันคือคำสั่ง Stop Loss ที่ "เลื่อนขึ้น" เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ "จะไม่เลื่อนลง" เมื่อราคาย่อตัว
ตีความแบบง่าย (Analogy):จินตนาการว่า Trailing Stop คือ "พื้นลิฟต์" ที่คุณยืนอยู่ (ราคาคือตัวคุณ)
- เมื่อคุณ "กระโดดขึ้น" (ราคาขึ้น) -> "พื้นลิฟต์" (Stop Loss) จะ "ยกตัว" ตามคุณขึ้นมาทันที
- แต่ถ้าคุณ "ย่อตัว" (ราคาย่อ) -> "พื้นลิฟต์" จะ "ค้าง" อยู่ที่เดิม ไม่ขยับลงตาม
คุณจะ "ตก" (ถูกขาย) ก็ต่อเมื่อคุณ "ย่อตัว" ต่ำกว่า "พื้นลิฟต์" ล่าสุดที่คุณเพิ่งยืนอยู่เท่านั้น
2. ตัวอย่างการทำงาน (The Magic in Action)
นี่คือตัวอย่างคลาสสิก ที่แสดงให้เห็นว่า Trailing Stop "บังคับ" ให้เรา "รันเทรนด์" และ "ล็อคกำไร" ได้อย่างไร
แผน: ซื้อหุ้น A ที่ 100 บาท และตั้ง Trailing Stop ที่ระยะ 10%
- ซื้อ (Entry): ซื้อ 100 บาท -> Trailing Stop "เริ่มทำงาน" ที่ 90 บาท (ต่ำกว่า 100 อยู่ 10%)
- ราคาขึ้น (Run): ราคาพุ่งไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 120 บาท
- Trailing Stop "เลื่อนขึ้น" ตามไปที่ 108 บาท (ต่ำกว่า 120 อยู่ 10%)
- ราคาขึ้นต่อ (Run Harder): ราคาพุ่งต่อไปที่ 150 บาท
- Trailing Stop "เลื่อนขึ้น" ตามไปที่ 135 บาท (ต่ำกว่า 150 อยู่ 10%)
- ราคาย่อ (Dip): ราคา "ย่อตัว" ลงมาที่ 140 บาท
- Trailing Stop "ไม่ขยับ" (Stay) ยังคง "ค้าง" อยู่ที่ 135 บาท (เพราะมันไม่เลื่อนลง)
- จุดจบ (Exit): ราคา "ร่วงต่อ" ลงมาแตะ 135 บาท
- คำสั่ง Trailing Stop ถูก "กระตุ้น" (Triggered) -> ระบบ "ขาย" หุ้นทั้งหมดที่ 135 บาท
ผลลัพธ์:
- ป้องกันการ "ขายหมู": ไม่ได้ขายที่ 120 บาท (เพราะ Stop อยู่ที่ 108)
- ป้องกัน "กำไรทิพย์": ไม่ได้ "ทนถือ" จนราคาร่วงกลับมาที่ 100 บาท
- ผลลัพธ์: "ล็อคกำไร" (Locked-in Profit) ที่ +35% โดย "ไร้อารมณ์" (Emotionaless)
3. 3 วิธีตั้ง Trailing Stop (แบบง่าย -> แบบโปร)
การกำหนด "ระยะห่าง" (เช่น 10% ในตัวอย่าง) คือส่วนที่ "ยากที่สุด" นี่คือ 3 วิธีที่นิยม:
| วิธีที่ 1: ตั้งตาม % (Percentage Stop) | วิธีที่ 2: ตั้งตาม "เส้นค่าเฉลี่ย" (MA Stop) | วิธีที่ 3: ตั้งตาม "โครงสร้างกราฟ" (Manual Stop) |
|---|---|---|
| วิธีทำ: กำหนด % "คงที่" ที่ยอมให้ราคาย่อได้ (เช่น 8%, 10%, 15%) ข้อดี: "ง่าย" ตั้งค่าอัตโนมัติใน Streaming ได้ (Conditional Order -> Trailing Stop) ข้อเสีย: "ไร้ตรรกะ" (Arbitrary) หุ้นผันผวนสูง (เช่น DELTA) ต้องใช้ % กว้างกว่า หุ้นผันผวนต่ำ (เช่น AOT) |
วิธีทำ: ใช้ "เส้นค่าเฉลี่ย" (Moving Average) เป็น "แนวรับไดนามิก" กฎ: "ถือ" ตราบใดที่ราคา "ยังยืนเหนือ" เส้น MA (เช่น EMA 20-Day หรือ EMA 50-Day) และ "ขาย" เมื่อราคา "ปิดหลุด" เส้นนั้น ข้อดี: "ลื่นไหล" (Dynamic) ปรับตามแนวโน้มได้ดี ข้อเสีย: "ช้า" (Lagging) มักจะ "คืนกำไร" (Give Back) จากจุดสูงสุดเยอะกว่าแบบ % [Image of a Moving Average acting as a dynamic Stop Loss on a chart] |
วิธีทำ: "เลื่อน Stop Loss ด้วยมือ" (Manual) ไปไว้ "ใต้" "จุดต่ำสุด" (Swing Low) ล่าสุด กฎ: ตราบใดที่หุ้นยังเป็นขาขึ้น มันจะสร้าง "ฐานใหม่" (Higher Low) สูงขึ้นเรื่อยๆ ให้เลื่อน Stop Loss ตาม "ใต้ฐาน" นั้นไปเรื่อยๆ ข้อดี: "สมเหตุสมผล" ที่สุดทางเทคนิค ยอมแพ้เมื่อ "โครงสร้างขาขึ้น" พัง ข้อเสีย: ต้อง "มีวินัย" และ "เฝ้า" เพื่อเลื่อนเอง (เหมาะกับ Swing Trader) [Image of a chart showing Stop Loss manually placed under Higher Lows] |
4. "กับดัก" ของ Trailing Stop (ตั้ง "แคบ" ไป vs "กว้าง" ไป)
นี่คือ "จุดตาย" ของการใช้ Trailing Stop
"ความผันผวน" (Volatility) คือศัตรู1. ตั้ง "แคบ" เกินไป (Too Tight): (เช่น ตั้ง Trailing Stop 3% กับหุ้นที่เหวี่ยงวันละ 5%)
ผลลัพธ์: จะถูก "เขย่า" (Whipsawed) ออกจากตลาดด้วย "การย่อตัวปกติ" (Normal Noise) ทำให้ "ขาดทุน" หรือ "ขายหมู" ทั้งๆ ที่แนวโน้มใหญ่ยังไม่จบ2. ตั้ง "กว้าง" เกินไป (Too Wide): (เช่น ตั้ง Trailing Stop 30%)
ผลลัพธ์: "คืนกำไร" (Give Back) ที่ได้มาจากจุดสูงสุดมากเกินไป (เช่น ราคาขึ้นไป 150 บาท แล้วต้องรอมันร่วงถึง 30% จึงจะขาย) ทำให้เสียโอกาส
วิธีแก้: ต้องเลือก "ระยะห่าง" (เช่น %) ให้ "เหมาะสม" กับ "ความผันผวน" (Volatility) ของหุ้นตัวนั้นๆ (เช่น ใช้ค่า ATR) หรือใช้ "โครงสร้างกราฟ" (วิธีที่ 3) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยง "Noise"
สรุป: เครื่องมือ "ตัด" อารมณ์
Trailing Stop คือ "วินัย" ที่อยู่ในรูปแบบของ "คำสั่ง" มันคือการยอมรับความจริงว่า "เราไม่รู้ว่าจุดสูงสุดอยู่ที่ไหน" แต่เรา "รู้ว่าจุดที่เราควรหนีอยู่ที่ไหน"
มันคือเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบในการ "บังคับ" ให้เทรดเดอร์ทำในสิ่งที่ "ถูกต้อง" ตามหลักการ "Trend Following" นั่นคือ "Cut losses short, Let winners run" (ตัดขาดทุนเร็ว, ปล่อยกำไรเติบโต) โดยขจัด "อารมณ์" ที่อ่อนไหวของมนุษย์ออกไปจากสมการ
แหล่งอ้างอิง (References)
- Settrade. (2568). Conditional Order: Trailing Stop. เข้าถึงได้จาก www.settrade.com
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). การบริหารความเสี่ยง (Risk Management). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
- Covel, M. W. (2009). Trend Following. (หนังสือคลาสสิกด้านการเทรดตามแนวโน้มและการบริหารจุดออก)
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook
Miss Kaewthip



