"Stop Loss" ตั้งตรงไหน? (วิธีตัดขาดทุนไม่ให้ลุกลาม) | SKE

"Stop Loss" ตั้งตรงไหน? (วิธีตัดขาดทุนไม่ให้ลุกลาม) | SKE
ในโลกของการเทรด "เทคนิค" การหาหุ้นที่ชนะ (Winning Strategy) เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ "ทักษะ" ที่แท้จริงซึ่งใช้ตัดสินว่าใครจะ "อยู่รอด" ในระยะยาว คือการ "ตัดขาดทุน" (Cutting Losses)
Stop Loss (การตั้งจุดตัดขาดทุน) คือ "ประกัน" ที่สำคัญที่สุดของเทรดเดอร์ มันคือ "แผนการหนี" ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ว่าจะยอม "แพ้" ที่จุดไหน มันคือเครื่องมือที่เปลี่ยน "การขาดทุนที่ลุกลาม" (Catastrophic Loss) ให้กลายเป็นเพียง "บาดแผลเล็กน้อย" (Small, Manageable Loss)
มือใหม่ส่วนใหญ่มัก "ไม่กล้า" ตั้ง Stop Loss เพราะกลัว "การขาดทุน" แต่หารู้ไม่ว่า การไม่ตั้ง Stop Loss ต่างหาก คือ "ความเสี่ยง" ที่แท้จริง บทความนี้จะเจาะลึกว่าควร "ตั้ง Stop Loss ตรงไหน" เพื่อให้มีประสิทธิภาพและไม่ "ถูกเขย่า" ออกจากตลาดโดยไม่จำเป็น
1. จิตวิทยา: "บาปมหันต์" ของการเทรด (The Cardinal Sin)
ก่อนจะเรียนรู้ว่า "ตั้งตรงไหน" ต้องเข้าใจก่อนว่า "ห้ามทำอะไร" บาปที่ร้ายแรงที่สุดของเทรดเดอร์ ไม่ใช่การ "ขาดทุน" แต่คือการ "เลื่อน Stop Loss หนี"
"การเลื่อน Stop Loss หนี" (Moving the Stop Loss Further Away)จิตวิทยา: เกิดขึ้นเมื่อราคา "ใกล้" จะถึงจุด Stop Loss ที่วางแผนไว้ (เช่น 90 บาท) สมองส่วน "อัตตา" (Ego) และ "ความหวัง" (Hope) จะเข้ามาควบคุม โดยคิดว่า "เดี๋ยวมันก็เด้ง" เทรดเดอร์จึง "เลื่อน" จุด Stop Loss หนีลงไปที่ 85 บาท
หายนะ: การกระทำนี้คือการ "ทำลาย" แผนการบริหารความเสี่ยง (Money Management) ทั้งหมด มันคือการเปลี่ยน "การขาดทุน 1%" ที่คำนวณไว้ ให้กลายเป็น "การขาดทุน 10%, 20% หรือ 50%" แบบไร้ขีดจำกัด นี่คือสาเหตุหลักของการ "ล้างพอร์ต"
กฎเหล็ก: Stop Loss คือ "เส้นตาย" ที่ "ห้าม" ขยับหนีเด็ดขาด "เจ็บแต่จบ" (Cut Loss) ดีกว่า "เจ็บเรื้อรัง" (Losing Big)
2. กฎข้อที่ 0: "ตั้ง Stop Loss... ก่อนกดซื้อ!"
การตัดสินใจที่ "ดีที่สุด" เกิดขึ้นเมื่อ "อารมณ์" เป็นศูนย์ การตัดสินใจที่ "เลวร้ายที่สุด" เกิดขึ้น "ระหว่าง" ที่กำลังเทรด (In the heat of the moment)
Stop Loss คือ "ส่วนหนึ่ง" ของแผนการเทรด (Trading Plan)ก่อนกด "Buy" 1 ครั้ง เทรดเดอร์ต้องตอบให้ได้ 3 คำถาม:
- จุดเข้า (Entry): จะซื้อที่ราคาเท่าไหร่?
- จุดออก (Take Profit): จะขายทำกำไรที่ราคาเท่าไหร่?
- จุดหนี (Stop Loss): จะยอมแพ้ที่ราคาเท่าไหร่?
ต้อง "กำหนด" จุด Stop Loss ล่วงหน้า "ก่อน" ที่จะเข้าเทรดเสมอ เพื่อป้องกัน "อคติ" (Bias) และ "ความหวัง" เข้ามาครอบงำ
3. 3 วิธีตั้ง Stop Loss "แบบมืออาชีพ" (Where to Place It)
การตั้ง Stop Loss ที่ดี ไม่ใช่การตั้ง "ตามใจชอบ" แต่ต้องตั้งตาม "ตรรกะ" ของตลาด นี่คือ 3 วิธีที่นิยมที่สุด
| วิธีที่ 1: ตั้งตาม % ขาดทุน (Percentage Stop) | วิธีที่ 2: ตั้งตาม "โครงสร้างกราฟ" (Chart Stop) (แนะนำ) | วิธีที่ 3: ตั้งตาม "ความผันผวน" (Volatility Stop) |
|---|---|---|
| วิธีทำ: กำหนด % ที่ "ยอมเสียได้" จากต้นทุน (เช่น -5%, -8%, -10%) ข้อดี: "ง่าย" ชัดเจน ไม่ต้องคิดเยอะ ข้อเสีย: "ไร้ตรรกะ" (Arbitrary) หุ้นบางตัว "ผันผวน" (เหวี่ยง) วันละ 10% การตั้ง Stop 5% จึง "แคบ" เกินไป และจะ "ถูกเขย่า" (Stopped Out) ออกจากตลาดโดยไม่จำเป็น |
วิธีทำ: ตั้ง Stop Loss ตาม "แนวรับ" ที่มีนัยสำคัญทางเทคนิค "เผื่อ" ระยะลงไปเล็กน้อย (เช่น 1-2 ช่องราคา)
|
วิธีทำ: ใช้เครื่องมือ "ATR" (Average True Range) ซึ่งวัด "ความผันผวน" เฉลี่ยของหุ้น สูตร: ตั้ง Stop Loss ที่ `ราคาเข้า - (2 * ATR)` ข้อดี: "ชาญฉลาด" ที่สุด เพราะให้ "ระยะห่าง" (Breathing Room) ที่เหมาะสมกับ "นิสัย" ของหุ้นตัวนั้นๆ ป้องกันการถูกเขย่าโดย "เสียงรบกวน" (Noise) ข้อเสีย: ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ |
4. "สูตรทองคำ": MM + Chart Stop (การคำนวณ Position Sizing)
นี่คือ "หัวใจ" ที่แท้จริง ที่เชื่อม "Money Management" (MM) เข้ากับ "การตั้ง Stop Loss"
จำ "กฎ 1%" (The 1% Rule) ได้หรือไม่? (เสี่ยงขาดทุนไม่เกิน 1% ของพอร์ต ต่อการเทรด 1 ครั้ง)
เราจะใช้ "Chart Stop" (วิธีที่ 2) เพื่อ "กำหนดระยะเสี่ยง" และใช้ "กฎ 1%" เพื่อ "คำนวณขนาด" ที่จะซื้อ
ตัวอย่าง "สูตรทองคำ"
- เงินทุนในพอร์ตทั้งหมด: 500,000 บาท
- กฎ 1% (ยอมขาดทุนได้สูงสุด): 5,000 บาท
แผนเทรด (FA+TA):
ต้องการซื้อหุ้น A เพราะกราฟ Breakout ที่ราคา 50 บาท
วิเคราะห์ "Chart Stop" (วิธีที่ 2) แล้ว พบ "แนวรับ" (ฐานเก่า) ที่ 47.50 บาท (นี่คือจุด Stop Loss)
- ความเสี่ยงต่อ 1 หุ้น (Risk per Share) = 50 - 47.50 = 2.50 บาท
คำถาม: ควรซื้อกี่หุ้น (Position Sizing)?
สูตร: (ความเสี่ยงที่ยอมได้) / (ความเสี่ยงต่อหุ้น) = 5,000 บาท / 2.50 บาท = 2,000 หุ้น
สรุป: ต้องซื้อหุ้น A จำนวน 2,000 หุ้น (ใช้เงิน 100,000 บาท) และ "ตั้ง Stop Loss ที่ 47.50 บาท ทันที"
ถ้าแผนผิด จะ "ขาดทุน 5,000 บาท" (1% ของพอร์ต)
ถ้าแผนถูก (R:R 1:2) และไปขายที่ 55 บาท จะ "กำไร 10,000 บาท" (2% ของพอร์ต)
วิธีนี้คือการเทรดที่ "ควบคุม" ความเสี่ยงทั้งหมดไว้ในมือแล้ว
5. การ "เลื่อน" Stop Loss ที่ถูกต้อง: "Trailing Stop" (เมื่อกำไร)
การ "เลื่อน" Stop Loss หนี (ขยับลง) คือ "บาป" แต่การ "เลื่อน" Stop Loss ตาม (ขยับขึ้น) คือ "ศิลปะ" ของการ "รันเทรนด์"
"Trailing Stop" (การล็อคกำไร)คือการ "เลื่อน" จุด Stop Loss "ขึ้น" ตามราคาที่สูงขึ้น เพื่อ "ปกป้อง" กำไรที่ได้มา
ตัวอย่าง:
ซื้อที่ 50 บาท (Stop 47.50) -> ราคาขึ้นไป 60 บาท และสร้าง "ฐานใหม่" (Higher Low) ที่ 57 บาท
การกระทำ: "เลื่อน" Stop Loss "ขึ้น" จาก 47.50 บาท มาไว้ที่ "ใต้" ฐานใหม่ (เช่น 56.50 บาท)ณ จุดนี้ "เกมนี้ไม่มีความเสี่ยงแล้ว" (Risk-Free Trade) เพราะถึงแม้จะโดน Stop Loss ก็ยัง "กำไร" (56.50 - 50.00)
สรุป
Stop Loss ไม่ใช่เครื่องมือที่บอกว่า "คิดผิด" แต่มันคือเครื่องมือที่บอกว่า "เกมนี้จบแล้ว" และ "ถึงเวลาไปหาเกมใหม่"
การตั้ง Stop Loss ที่ "สมเหตุสมผล" (ตามโครงสร้างกราฟ) และการ "คำนวณขนาด" ที่จะซื้อ (ตามกฎ 1%) คือทักษะ "คู่" ที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เทรดเดอร์อยู่รอดในตลาด และป้องกันไม่ให้การขาดทุนเพียงครั้งเดียว "ลุกลาม" จนทำลายพอร์ตทั้งหมด
แหล่งอ้างอิง (References)
- Tharp, V. K. (2007). Trade Your Way to Financial Freedom. (หนังสือคลาสสิกด้าน Money Management และ Position Sizing)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET). (2568). การบริหารความเสี่ยง (Risk Management). เข้าถึงได้จาก www.set.or.th
- Settrade. (2568). Conditional Order: Stop Order. เข้าถึงได้จาก www.settrade.com
SKE Solar (ตัวแทนจำหน่าย Sungrow) พร้อมดูแลครบวงจร!
ติดต่อเราเพื่อสำรวจหน้างานและรับคำปรึกษา "ฟรี" ได้เลยวันนี้!
บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SKE Solar)
(ตัวแทนจำหน่ายและติดตั้ง Sungrow อย่างเป็นทางการ)
โทร: 045-905-215
เว็บไซต์: www.supsaringkan.co.th
Facebook: facebook.com/SKESolarEnergyUbon
LINE: @760fgpmx
#โซล่าเซลล์อุบล #ภาคอีสาน #SKEolar #Sungrow #ขออนุญาตPEA #ROI #ติดตั้งทั่วไทย
© 2025 บริษัท ทรัพย์ศฤงคาร เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ | Copyright © 2025 Supsaringkan Engineering Co., Ltd. All Rights Reserved.
Miss Kaewthip



